ก่อนเสียชีวิตไม่นาน
27 สิงหาคม 2533
สุรชัย ท้วมสมบูรณ์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งได้ไปหาสืบที่ป่าห้วยขาแข้ง
เมื่อเพื่อนเชิญมาขอคำปรึกษาบางอย่าง
สุรชัยจำได้ว่า
“ เขาเอารายงานที่จะเสนอให้ห้วยขาแข้งเป็นมรดกโลกให้ผมดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ผมก็อ่าน บอกดีมาก เขาก็ถามว่าจะให้เพิ่มเติมอะไรไหม
ผมก็ว่าแค่นี้ก็ดีแล้ว ผมว่าเขาน่าจะเครียด ตอนเย็นเขาก็ไปส่งผมที่ตลาด
ผมกำลังจะขึ้นรถเขาก็ดึงมือผมไว้แล้วก็บอกว่า เฮ้ยอยู่ก่อนไม่ได้เหรอมีเรื่องจะคุย
ผมก็บอกไม่เป็นไรเดี๋ยวก็มาใหม่ เขาก็ปล่อยมือผม
ปล่อยแบบมือตกไปเลยคล้ายๆกับคนสิ้นหวัง”
รายงานทางวิชาการคุณค่าของป่าแห่งนี้เพื่อนำเสนอให้ยูเนสโก
พิจารณาให้ป่าห้วยขาแข้งและทุ่งใหญ่นเรศวรเป็นมรดกโลก ได้เสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว
และกลายเป็นมรดกชิ้นสำคัญที่สุดของสืบ ที่ทิ้งไว้ให้กับคนไทยทั้งประเทศ
29 สิงหาคม 2533
สุนทร ฉายวัฒนะ ลูกน้องคนสนิทเล่าให้ฟังว่า
“ ผมจำได้ว่าเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจับคนล่าสัตว์
เป็นเนื้อส้มค่างเหมือนเป็นปลาร้าใส่ถุงปุ๋ยและถุงพลาสติกประมาณแปดสิบกิโล
อีกส่วนหนึ่งคืออวัยวะเพศของค่างร้อยเป็นพวง
และย่างรมควันอีกสองพวงเป็นข้อมือของข้างร้อยเป็นสองพวงใหญ่ๆ จำนวนมากเหมือนกัน
หัวหน้าสืบเห็นก็นิ่งอึ้งเลยน้ำตาไหลอาบสองข้าง
แล้วพูดกับคนล่าสัตว์ด้วยความโมโหสุดขีดว่า ไปล่ามันทำไม”
30 สิงหาคม 2533
ยงยุทธ มีแสงพราว อดีตผู้ช่วยหัวหน้าเขตฯ ย้อนความหลังให้ฟังว่า
“วันที่ 30 สิงหา เป็นวันประชุมของหัวหน้าส่วนราชการของจังหวัดอุทัยธานี
พี่สืบมาประชุมพร้อมผมพอประชุมเสร็จ
แกไปปิดบัญชีถอนเงินออกมาหมดไม่กี่พันบาท เอาไปให้ลูกน้องหมด
พอวันที่ 31 ตอนเช้าเป็นวันศุกร์หลังจากคุยงานเสร็จ
แกก็บอกฝากของจ่าหน้าซองถึงคนที่เชียงใหม่
แกว่าตอนแรกจะไปพูดที่เชียงใหม่ แต่เปลี่ยนใจไม่ไป ฝากส่งของให้ด้วย”
เพื่อนสนิทคนหนึ่งเคยถามสืบว่า ทำไมเขาถึงต้องทำงานหนักอย่างนี้
ทำไมเราต้องต่อสู้ต่อไปเรื่อย ๆโดยไม่มีความหวังอันใด สืบบอกว่า
“เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งเราจะเพิกเฉยไม่ได้”
31 สิงหาคม 2533
เช้าวันที่ 31 สิงหาคม สืบ นาคะเสถียร อยู่ในชุดกางเกงสีครีม
สวมเสื้อสีส้มอ่อน ๆ เดินขึ้นไปบนสำนักงาน เขียนหนังสือและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สั่งลูกน้องให้ไปซื้อศาลพระภูมิมาไว้ที่นี่พรุ่งนี้
จนกระทั่งตกบ่าย สืบเริ่มเอาสิ่งของที่เคยยืมมาไปคืนเจ้าของ
และมอบแผนที่แสดงตำแหน่งร้านค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมายในจังหวัดอุทัยธานีฝากให้กองอนุรักษ์สัตว์ป่า
ประมาณห้าโมงเย็นสืบเดินมาชวนลูกน้องคนสนิทสองสามคนนั่งกินเหล้าที่ศาลากินข้าว
หม่อมซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่ได้คุยกับสืบ ได้ถ่ายทอดบรรยากาศขณะนั้นให้ฟังว่า
“มาถึงแกก็บอกว่าเอาเหล้ามากินกัน
กินไปคุยไปจนประมาณสองทุ่มแกบอกให้พี่ยงยุทธ
วิทยุไปที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ย้ำว่าไม่ไปแล้ว จะส่งวิดีโอไปให้แทน
จนประมาณห้าทุ่มผมก็ขอแยกตัวไปเข้าเวร สักประมาณครึ่งชั่วโมง
พี่สืบก็เดินตามออกมาขอบุหรี่สูบ และนั่งคุยกับยามถามทุกข์สุข ซึ่งก็แปลก
เพราะยามคนนี้ทำงานมานานแล้ว แต่แกถามเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน
ก็แปลกใจว่าทำไมจู่ๆ มาถาม คุยซักพักยามคนนั้นเขาก็ขอตัว
เหลือแต่ผมกับพี่สืบที่คุยกันต่ออีกถ้าจำไม่ผิดคือแกจะถามเรื่องคนงานว่าเป็นอย่างไร
บายดีไหม เราจะหาทางช่วยเหลือคนพวกนี้อย่างไร
ประมาณเที่ยงคืนพี่สืบก็บอกผมว่า ให้ยามดับไฟได้แล้วนะ เขาจะกลับบ้าน
ผมบอกว่าจะไปส่ง แกบอกไม่เป็นไร พี่เดินไปได้
แกเดินไปซักสี่ห้าก้าวและหันกลับมาโบกมือเหมือนบอกลาและยิ้มให้ผม
เหมือนกับคนที่มีความสุขที่สุด
พร้อมกับยกมือขึ้นแล้วบอกว่า หม่อม พี่ไปแล้วนะ
เป็นรอยยิ้มที่ผมยังจำได้ถึงทุกวันนี้”
1 กันยายน 2533
ประมาณตีสี่ของวันที่ 1 กันยายน 2533 ยามในป่าห้วยขาแข้งได้ยินเสียงปืนนัดหนึ่ง
แต่ไม่ได้คิดอะไร ในป่าแห่งนี้ทุกคืน จะได้ยินเสียงปืนเป็นเรื่องธรรมดา
จนประมาณสิบโมงเช้า เจ้าหน้าที่เริ่มแปลกใจว่าหัวหน้าสืบยังไม่ลงมากินข้าว
หม่อมจึงอาสาเดินไปตาม ไปส่องดูที่หน้าต่างกระจก
เห็นพี่สืบนอนคว่ำหน้า ยังคิดว่าแกไม่สบาย แต่เมื่อไขกุญแจบ้านเข้าไป
เขาพบร่างที่ไร้ลมหายใจของหัวหน้าสืบอยู่บนเตียง
ปืนพกที่บิดาให้สืบมาป้องกันตัว แต่กลายเป็นปืนที่ยิงตัวตายตกอยู่ข้างเตียง
มีแผ่นกระดาษบนโต๊ะเขียนข้อความไว้ว่า
“ผมมีเจตนาที่จะฆ่าตัวเอง โดยไม่มีผู้ใดเกี่ยวข้องในกรณีนี้ทั้งสิ้น”
ลงชื่อ สืบ นาคะเสถียร ผู้ตาย
(นายสืบ นาคะเสถียร)
31ส.ค. 33
กระดาษอีกแผ่นหนึ่งมีข้อความว่า
ยงยุทธ
ถุงกอล์ฟ รองเท้ากอล์ฟ กล่องของของน้ำฝน(ลูกสาว-ผู้เขียน) กระเป๋าเอกสาร กล่องใส่เอกสาร หลักฐานต่าง ๆ กระเป๋า กุญแจบ้าน…กุญแจรถ กระเป๋าดำ สารคดี ขอให้คุณยงยุทธนำคืนพร้อมรถโฟล์กให้แก่พ่อของผมด้วย โดยติดต่อคุณสลับ นาคะเสถียร 17 หมู่ 12 ถนนปราจีนอนุสร์ ต.ท่างาม อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี โทร. ป.จ. 037-211483 ทุกเวลา
สืบ นาคะเสถียร
31 สค. 33
ปล. กระเป๋าสตางค์ และของพี่ฝากไว้กับหม่อม
สืบ นาคะเสถียร
02.00/1 ก.ย. 33
หลังจากเขียนจดหมายฉบับสุดท้ายเสร็จ หลังจากนั้นสองชั่วโมง สืบจึงตัดสินใจยิงตัวตาย
หม่อมผู้เจอศพคนแรกเล่าว่า
“พี่สืบหน้าตาสดใส สงบ เหมือนนอนหลับ
ผ้าปูที่นอนเรียบ ไม่บ่งบอกสภาพอันทุรนทุราย”
สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งเขาอาจจะถูกยิงตาย
เขามีค่าหัวจากการบงการของผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย
สืบรู้ตัวดีว่า สักวันหนึ่งลูกน้องของเขาซึ่งเขาเป็นคนส่งออกไปปฏิบัติหน้าที่
ต้องถูกยิงตายอย่างไร้ค่าเพราะไม่มีใครสนใจ สืบไม่ใช่คนกลัวตาย
แต่ทนไม่ได้ที่ลูกน้องเขาต้องตายไปต่อหน้า โดยที่เขาไม่อาจทำอะไรได้
สืบมีความฝันที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น
ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้สัตว์ป่าและป่าไม้ในป่าห้วยขาแข้งอยู่รอด
เมื่อความมุ่งมั่นของเขาที่มีต่อห้วยขาแข้งถูกทำลายลงอย่างย่อยยับจากระบบราชการ
และผู้มีอำนาจในเมืองไทย ที่ไม่เคยสนใจปัญหาการทำลายธรรมชาติอย่างจริงจัง
และปล่อยให้สืบเผชิญปัญหาตามลำพัง
เขาเคยปรึกษาแม่ว่าจะลาออกและไปบวช แต่เขาก็ไม่ลาออก
การลาออกเป็นการทรยศต่อตัวเอง ทรยศต่อห้วยขาแข้ง และทรยศต่อลูกทีมของเขา
แต่การมีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่สามารถทำให้ความมุ่งมั่น ความเชื่อของเขาเป็นจริงได้
สืบ นาคะเสถียร เป็นคนไม่เคยทรยศต่อหลักการ และความมุ่งมั่นของตัวเอง
สืบ เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก เมื่อทำแล้วต้องทำให้ดีที่สุดตามความฝันของตัวเอง
บางทีการตั้งใจฆ่าตัวตาย
อาจเป็นเพียงหนทางเดียวที่ทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงขึ้นมาได้