ภาษาอังกฤษ มีศัพท์คำหนึ่งฟังแล้วชวนขนลุก
ผู้สนใจธรรมชาติรู้จักดี คือ คำว่า Mass Extinction
แปลเป็นไทยว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เมื่ออุบัติขึ้นแล้ว คือหายนะจริง
ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ พืช สัตว์ แทบทุกชนิดต้องสูญพันธุ์ไปพร้อม ๆ กัน
หรือในเวลาอันไล่เลี่ยกัน
คือเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว แทบจะล้างโลกกันทีเดียว
ที่ผ่านมาประมาณ 4,500 ล้านปี ของอายุของโลกใบนี้
ผ่านการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้วห้าครั้ง
ครั้งแรกเกิดเมื่อประมาณ 450 ล้านปีในปลายยุคออร์โดวิเชียน
สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ สูญพันธุ์ไป 60-70 เปอร์เซนต์
สาเหตุจากเป็นยุคน้ำแข็งปกคลุมทั่วโลก น้ำทะเลกลายเป็นก้อนน้ำแข็งยักษ์
และลดระดับลงไปร่วมร้อยเมตร
ครั้งที่สองเกิดเมื่อ 360 ล้านปี ยุคปลายเดโวเนียน
สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในน้ำหายไป 70 เปอร์เซนต์
ปะการังแทบเกลี้ยง สาเหตุคาดว่ามาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ
เหตุครั้งที่สามถือว่าร้ายแรงที่สุด เกิดตอนสิ้นยุคเพอร์เมียนประมาณ 250 ล้านปี
ได้ฉายาว่า เป็นมารดาแห่งการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่
ชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหายไปถึง 97 เปอร์เซนต์
โดยเฉพาะแมลงยักษ์และหอยไทโรไบค์
สาเหตุมาจากการระเบิดของภูเขาไฟยักษ์ในไซบีเรีย
หรืออุกาบาตชนโลก ทำให้เกิดวิกฤติโลกร้อน
ครั้งที่สี่เกิดในสมัยจูแรสสิกเมื่อ 200 ล้านปี
ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิดครั้งใหญ่ตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก
เกิดภาวะโลกร้อน สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครึ่งหนึ่งหายไป
และทำให้ไดโนเสาร์แพร่พันธุ์ครองโลก
การสูญพันธุ์ครั้งที่ห้า น่าจะเป็นที่รู้จักของคนมากที่สุด
เกิดในยุคครีเตเชียส เมื่อ 65 ล้านปีก่อน จากอุกาบาตชนโลกบริเวณอ่าวเม็กซิโก
ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ทันที
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การสูญพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการ
เพราะเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้
อาทิ หากไดโนเสาร์ผู้เคยครองโลกมาหลายร้อยล้านปีไม่สูญพันธุ์
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมนุษย์
ก็จะไม่มีโอกาสแจ้งเกิดมาเป็นเจ้าโลกนี้แทนได้
ปัจจุบันนี้ โลกกำลังก้าวสู่การสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่หก
สาเหตุหลักไม่ได้มาจากธรรมชาติ
แต่มาจากน้ำมือของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่
ที่น่าตกใจคือ การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครั้งนี้
มีอัตราการทำลายล้างสูงมากกว่าในอดีตถึงหนึ่งพันเท่า
สาเหตุมาจากคือการไล่ล่าของมนุษย์ การทำลายป่า
และปัญหามลพิษโลกของเรากำลังก้าวสู่ยุคการทำลายล้าง
ที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และพืช อย่างน้อย 3 ใน 4 ที่มีอยู่ทั้งหมด
ต้องสูญพันธุ์และหายไปจากโลกใบนี้
นายเฮร์ราลโด เซบัลลอส นักนิเวศแห่งสถาบันชีววิทยาแห่งเม็กซิโก
ศึกษาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ปีกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
และสัตว์เลี้อยคลาน จำนวนทั้งสิ้น 27,600 สายพันธุ์
พบว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ มีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาเพียง 40 ปีที่ผ่านมา
มนุษย์ทำลายสิ่งมีชีวิตจนสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปถึงร้อยละ 50
นั่นหมายความว่าก่อนจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 22
โลกของเราอาจไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ นอกจากมนุษย์
ต้นเหตุปัญหาสำคัญที่สุด
คือการเพิ่มประชากรของมนุษย์และการผลิตที่มากเกินไป
จนทำให้มีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ปัจจุบันป่าไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40
กลายเป็นพื้นที่ทางเกษตรไปหมดแล้ว
พื้นที่อาศัยของสัตว์ก็น้อยลงตามไปด้วย
เรากำลังเดินเข้าสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6
สิ่งมีชีวิตนับพันล้านตัวกำลังจะหายไป
และมนุษย์อาจจะสูญพันธุ์ไปด้วยจากสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ปัจจุบัน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสูญพันธุ์ไป 41 เปอร์เซ็นต์
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสูญพันธุ์ไป 26 เปอร์เซ็นต์
และอีก 50 ปี ข้างหน้า สิ่งมีชีวิต 70 เปอร์เซนต์จะสูญพันธุ์ไป
และอวสานของมนุษย์อาจมาเยือนเร็วกว่าที่คิด
ล่าสุดหลายแห่งทั่วโลกได้เกิดปัญหาผึ้งในธรรมชาติหายไป
ซึ่งเป็นวิกฤติที่ไม่มีใครสนใจ
เพราะผึ้งเป็นตัวหลักในการผสมพันธุ์เกสรดอกไม้
หากพืชผลทางการเกษตรที่ใช้ผึ้งเป็นตัวขยายพันธุ์หายไป
อะไรจะเกิดขึ้นกับอาหารของโลก
เช่นเดียวกัน มีการพบว่าน้ำทะเลมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น
ทำให้น้ำทะเลหลายแห่งมีค่าเป็นกรดสูง
สาหร่ายบางชนิด ที่เป็นอาหารปลาเริ่มหายไป
หากอาหารปลาหายไป
อะไรจะเกิดขึ้นกับปลาทะเลที่เป็นอาหารหลักของมนุษย์
หายนะมารอเราอีกไม่นาน
นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแทบจะไม่เห็นสัญญาณบวกชัด ๆ อันใด
จากรัฐบาลหรือบริษัททั่วโลก
ที่จะช่วยชะลอการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่นี้
การสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่หกมาเยือนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง
แต่ไม่อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติแน่นอน
Glad to see people who care about our total environment break down that is currently ongoing…
LikeLike