หากใครมีโอกาสไปเยือนประเทศตุรกี จะสังเกตว่า ตามอาคารบ้านเรือน ส่วนใหญ่จะมีภาพบุคคลคนหนึ่งติดบนผนัง หรือแม้แต่อนุสาวรีย์ หรือรูปปั้นในประเทศ จะเป็นรูปปั้นบุคคลนี้มากที่สุด
เขาเป็นคนที่ชาวตุรกีทุกฝ่ายให้ความเคารพนับถือตลอดกาล
ท่านผู้นั้นคือ มุสตาฟา เคมาล อตาเติรก์ (Mustafa Kemal Atatürk) ผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี
อตาเติร์ก เป็นภาษาตุรกี แปลว่า บิดาแห่งชาวเติร์ก เป็นนามสกุลที่รัฐสภาตุรกี
มอบให้แด่ท่าน และห้ามคนอื่นใช้มาจนถึงทุกวันนี้
……………………………………….
Antalya เป็นเมืองชายทะเลเมดิเตอร์ริเนียน อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี
เป็นเมืองโบราณมีอายุตั้งแต่สมัยพวกโรมันมาปกครองแถวนี้ร่วมสองพันปีก่อน
ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก พากันชื่นชมกับทะเลสีฟ้า Turquoise ผู้เขียนปลีกตัว
มาหาบ้านพักเล็ก ๆ หลังหนึ่งปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ เพื่อเป็นที่ระลึกแด่
มุสตาฟา เคมาล อตาเติรก์
คนไทยอาจเคยได้ยินคำว่า ยังเติร์ก อันหมายถึงกลุ่มทหารหนุ่มผู้มีอุดมการณ์ทางการเมือง
ทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองประเทศ และต้นแบบของคำนี้ก็มาจากกลุ่มนายทหารตุรกี
ที่ทำการยึดอำนาจการปกครองจากสุลต่าน ในสมัยอาณาจักรออตโตมัน
เมื่อร้อยกว่าปีก่อนและสมาชิกกลุ่มยังเติร์กหนุ่มคนหนึ่ง ต่อมาได้กลายเป็น วีรบุรุษสงคราม
นักปฏิวัติ ผู้นำและรัฐบุรุษของประเทศคือ อตาเติร์ก
ประเทศตุรกีที่เราได้ยินชื่อนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อร้อยปีเศษ ๆ นี่เอง
ก่อนหน้านี้เรียกว่าจักรวรรดิออตโตมัน มหาอำนาจโลก ปกครองด้วยผู้นำแบบกษัตริย์ที่เรียกว่า
สุลต่าน ผู้มีอำนาจสูงสุดสืบทอดกันมาหลายร้อยปี
ผู้เขียนเข้าไปดูสภาพทำเนียบบิดาของชาวตุรกี มีขนาดเพียงตึกแถวสองห้อง
สองชั้นจำลองสภาพเมื่อร่วมร้อยปีก่อนให้ผู้ชมได้เห็น สภาพเรียบง่าย
แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์มีค่าอะไรนอกจากห้องทำงาน ตู้ โต๊ะรับแขก และเตียงนอนธรรมดา
มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก เกิดในปีค.ศ. 1881 ที่เมืองซาโลนิกา เมืองหลวงของแคว้นมาซิโดเนีย
(อดีตดินแดนของออตโตมัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศกรีซ) เป็นช่วงที่อาณาจักรออตโตมันเริ่มอ่อนแอลงมาก
จนพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 1 แห่งรัสเซียให้ฉายาว่า เป็นคนป่วยแห่งยุโรป ในเชิงดูหมิ่นเหยียดหยาม
เด็กน้อยแต่เดิมมีเพียงชื่อ มุสตาฟา ส่วน เคมาล ครูคณิตศาสตร์ตั้งชื่อให้
จากผลการเรียนดีเยี่ยม ในบันทึกความจำของเขากล่าวไว้ว่า
“สิ่งที่จดจำฝังใจประการแรกในวัยเด็กก็คือ ปัญหาเกี่ยวกับการเข้าเรียน พ่อกับแม่ได้โต้เถียงกันยกใหญ่
แม่ต้องการให้ผมเริ่มต้นการศึกษาในโรงเรียนสอนศาสนาใกล้บ้าน
แต่พ่อซึ่งเป็นข้าราชการกรมศุลกากร อยากจะส่งผมไปเรียนที่โรงเรียนเซมซี อีเฟนดี
ที่เพิ่งเปิดใหม่สอนตามระบบสมัยใหม่ ในที่สุดพ่อผลก็แก้ปัญหาความขัดแย้ง
โดยยอมส่งผมไปเรียนตามใจแม่และอีกสองสาม
วันต่อมาผมก็ย้ายมาเรียนที่โรงเรียน เซมซี อีเฟนดี”
ต่อมาเขาได้เข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมทหาร ได้เข้าเรียนในวิทยาลัยสงครามเมืองอิสตันบูล
และจบการศึกษาในปีค.ศ. 1902
ช่วงเวลานั้น เสียงเรียกร้องให้เปลี่ยนประเทศเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ตามแบบตะวันตกเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้มีการศึกษาและนายทหารส่วนหนึ่งตระหนักว่า
ระบอบการปกครองแบบสุลต่านที่รวบอำนาจไว้แต่ผู้เดียว
มีแต่จะทำให้ประเทศอ่อนแอลงเรื่อย ๆ สุลต่านที่ประกาศตัวเป็นเคาะลีฟะฮ์
(ประมุขของอาณาจักรอิสลามทั้งทางการเมืองและศาสนา)
ก็มิได้ประพฤติปฏิบัติตามระบอบการปกครองของ อิสลามอย่างแท้จริง
ดินแดนหลายแห่งค่อย ๆ ถูกมหาอำนาจอื่นยึดไปทีละน้อย
โอกาสที่อาณาจักรออตโตมันจะล่มสลายมีความเป็นไปได้
หลังจากจบการศึกษา มุสตาฟา เคมาล ได้รับแต่งตั้งเป็นนายทหารยศร้อยโท
ถูกส่งประจำการที่ดามัสกัส ได้เข้าร่วมสมาคมปฏิวัติลับ ชื่อ “มาตุภูมิและเสรีภาพ”
ต่อมาเขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น เนื่องจากวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของบรรดาผู้นำ
ในปีค.ศ. 1908 มุสตาฟากลายเป็นหนึ่งในกลุ่มยังเติร์ก นายทหารจำนวนหนึ่งได้ทำการปฏิวัติ
ยึดอำนาจจากสุลต่านอับ ดุลฮามิดที่ 2 เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ
และเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 กลุ่มยังเติร์กได้นำประเทศเข้าสู่สงคราม
โดยเลือกอยู่ฝ่ายเยอรมนี แต่มุสตาฟา เคมาล ไม่เห็นด้วย เกิดความขัดแย้งกับแกนนำยังเติร์ก
เขาถูกส่งไปบัญชาการรบที่คาบสมุทรแกลลิปโปลี ต่อต้านฝ่ายสัมพันธมิตรที่พยายามยกพลขึ้นบก
เป็นสมรภูมิอันดุเดือดแห่งหนึ่งในสงครามมีคนตายและบาดเจ็บหลายหมื่นคน
เคมาลและกองทัพเตอร์กสามารถผลักดันให้อังกฤษ ฝรั่งเศส
ต้องถอนกำลังออกจากคาบสมุทร เป็นชัยชนะครั้งใหญ่ที่สุดของทหารเติร์ก
และทำให้เคมาลกลายเป็นวีรบุรุษสงครามขึ้นมา
แต่เมื่อเยอรมนีแพ้สงคราม จักรวรรดิออตโตมันต้องร่วมรับผิดชอบไปด้วย
ต้องยอมเสียดินแดนที่เคยเป็นเมืองขึ้น รวมทั้งดินแดนที่เป็นบ้านเกิดของตัวเองให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร
ในปีค.ศ. 1919 มุสตาฟา เคมาล ได้ถูกส่งตัวไปใจกลางประเทศเพื่อรักษาความสงบ
แต่เขากลับไปตั้งกองกำลังต่อสู้กับฝ่ายกองทัพกรีซที่ยกกำลังมารุกรานประเทศ
เคมาลได้จัดตั้งสภาแห่งชาติที่เมืองอังการ่า ทำให้รัฐบาลที่กรุงอิสตันบูล
(ซึ่งฝ่ายสุลต่านได้กลับมายึดครองแทนกลุ่มยังเติร์กได้อีกครั้งหนึ่ง) ประกาศว่า
เคมาลเป็นกบฎและปลดเขาออกจากทุกตำแหน่ง
แต่เคมาลหาได้หวาดกลัวไม่ เขาได้ประกาศว่ารัฐบาลเป็นผู้ทรยศต่อชาติ
เพราะไม่ทำอะไรเลยในการปกป้องแผ่นดินให้รอดพ้นจากการคุกคามของกรีซ
ขณะที่เคมาลนำกองทัพเข้าต่อสู้กับกรีซนานนับปี กว่าจะขับไล่กองทัพต่างชาติออกจากประเทศ
สามารถเรียกศักดิ์ศรีและความภูมิใจของชาวเติร์กกลับคืนมาได้
หลังจากกลายเป็นผู้แพ้ในสงครามโลก และทำให้แผนของอังกฤษฝรั่งเศสที่หมายจะครอบครอง
อาณาจักรออตโตมันก็ล้มเลิกไป
ค.ศ. 1922 สงครามความขัดแย้งระหว่างสองรัฐบาลก็สิ้นสุดลง
เมื่อสุลต่านองค์สุดท้ายได้หนีออกจากประเทศ มุสตฟา เคมาล ได้ขึ้นปกครองอำนาจ
รวมรวมผู้คนในประเทศที่มีความขัดแย้งและอ่อนแอให้เป็นหนึ่งเดียว
เปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐตุรกี เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย
แบบรัฐสภา และเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกในปีค.ศ. 1923
ย้ายเมืองหลวงจากอิสตันบูลมาที่อังการ่า และได้เริ่มต้นทำการปฏิรูปประเทศ
ใช้แนวคิดชาตินิยมเป็นตัวนำทางประเทศ จากอาณาจักรออตโตมันอันประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ
กลายเป็นประเทศตุรกี ที่มีชาวเติร์กเป็นหลัก นำประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
และทันสมัยแบบประเทศทางตะวันตกจนกลายเป็นประเทศมุสลิมที่มีเสรีภาพมากที่สุด
อตาเติร์ก ได้แบ่งแยกอำนาจการปกครองทางศาสนาออกจากอำนาจทางการเมือง
ซึ่งฝังรากลึกในหมู่ชนชั้นปกครองมายาวนาน
และสิ่งที่สำคัญยิ่งคือ
ทำให้เกิดความเท่าเทียมกันของคนในสังคม
ก่อนหน้านี้ผู้หญิงไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การศึกษาน้อย
อตาเติร์กได้ประกาศให้ผู้หญิงมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส.ได้
และสนับสนุนให้ผู้หญิงได้ศึกษาในระดับสูงและให้ครอบครัวมีผัวเดียวเมียเดียว
แม้ศาสนาอิสลามจะอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน
อตาเติร์ก ประกาศยกเลิกข้อบังคับในการแต่งกายมุสลิม ผู้ชายไม่ต้องสวมหมวกแขก
หรือโพกหัวผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้าหรือสวมคลุมชุดดำตลอดเหมือนในอดีต
แน่นอนว่า การปฏิรูปได้รับการต่อต้านจากฝ่ายมุสลิมสายอนุรักษ์อย่างมาก
แต่อตาเติร์กก็ฟันฝ่าได้สำเร็จ ด้วยการใช้รัฐสภาเป็นเครื่องมือในการออกกฎหมาย
โดยเฉพาะเรื่องการลบล้างระบอบสุลต่านให้หมดสิ้น ซึ่งตอนนั้นผู้คนส่วนใหญ่ยอมรับว่า
ควรให้สุลต่านอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญเหมือนกษัตริย์อังกฤษ
แต่อตาเติร์กมีความเชื่อว่าระบอบการปกครองที่ดีที่สุดคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตย
มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เพราะระบอบสุลต่านทำร้ายประเทศให้บอบช้ำมานานพอแล้ว
แถมทรยศต่อชาติไม่ยอมสู้รบกับกรีซที่มากำลังมายึดครองประเทศ
อตาเติร์กประเมินว่า คนตุรกีส่วนใหญ่การศึกษาไม่สูง ความจงรักภักดียังมีมาก
ทำให้โอกาสที่ระบอบสุลต่านจะได้รับความนิยมจะกลับคืนมาอีกครั้ง
เขาจึงต้องตัดไฟแต่ต้นลม เขาได้เสนอญัตติเข้าสู่สภาให้ล้มเลิกระบบสุลต่านจนสำเร็จ
และตัวเองได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม บรรดามุสลิมสายอนุรักษ์ ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า
แม้อตาเติร์กจะประกาศว่าจะนำประเทศให้ทันสมัย
ด้วยการเดินตามประเทศตะวันตกด้วยการปกครองแบบประชาธิปไตย
แต่ในข้อเท็จจริงเขาเป็นเผด็จการ พรรคของเขาไม่มีคู่แข่งเป็นรัฐบาลตลอด
รัฐบาลและรัฐสภาตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิง
ประชาชนไม่ได้มีสิทธิเสรีภาพอย่างแท้จริง
อาโนลด์ ทอย์นบี นักประวัติศาสตร์กล่าวถึงการปฏิวัติของอตาเติร์กว่า
“เป็นความพยายามที่จะปลดปล่อยชาติตุรกีให้ยืนอยู่บนขาของตนเอง
โดยใช้การปกครองแบบอำนาจเผด็จการการเบ็ดเสร็จ
แต่เปลี่ยนจากระบอบเก่ามาเป็นระบอบใหม่”
ทว่าแต่เกือบร้อยปีผ่านมา เขายังเป็น
บิดาแห่งประชาชนชาวเติร์กอย่างไม่เปลี่ยนแปลง