หากคุณเป็นคนช่างสังเกต
เวลาอยู่บนเครื่องบิน ก่อนเครื่องจะแล่นลงจอดในจังหวัดที่มีปัญหาเรื่องหมอกควันพิษ
โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคอีสานของประเทศช่วงนี้
ลองมองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่เห็นชัดเจนคือ
เส้นแบ่งชัดเจนระหว่างท้องฟ้าใสกับหมอกควันพิษสีเทาที่ปกคลุมพื้นที่เบื้องล่าง
หมอกควันพิษเหล่านี้คือ ละอองลอย (aerosol) คือ
ของผสมประเภทที่ประกอบด้วยอนุภาคของแข็งหรือของเหลว
ที่เป็นละอองฟุ้งกระจายในอากาศ หรือที่เราเรียกกันว่า ฝุ่น หรือ ฝุ่นละออง
ปัญหาหมอกควันพิษ เป็นปัญหาใหญ่ของมหานครระดับโลก และองค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า
มีผู้เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศปีละประมาณ 7 ล้านคน จากโรคหัวใจ มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร
โรคเส้นเลือดในสมอง และโรคทางเดินหายใจ
เป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว มีปรากฎการณ์สำคัญเหนือเชียงใหม่และเกือบทุกจังหวัดในภาคเหนือที่เกิดเป็นประจำ
แต่ดูเหมือนไม่ค่อยมีหน่วยงานออกมาส่งสัญญาณเตือนภัย หรือแก้ไขปัญหาอะไรเลย
คือปัญหาหมอกควันพิษ
หากคุณอยู่ในจังหวัดแถวภาคเหนือเวลานี้ ลองออกไปเดินตามท้องถนนรู้สึกได้เลยว่า
แสบจมูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ปีนี้จังหวัดเชียงใหม่ได้รับเกียรติสูงสุดหลายวันติดต่อกัน ในฐานะเมืองที่มีมลพิษทางอากาศมาก
อันดับหนึ่งของโลก
ปัญหาหมอกควันพิษเกิดขึ้นในภาคเหนือเกิดขึ้นมานานแล้ว จากการเผาป่า เผาพืชไร่ภาคการเกษตร
แล้วลุกลามเข้าไปในป่า ที่เกิดขึ้นทุกปีในช่วงเวลานี้
และนับวันจะเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่บริษัทเกษตรยักษ์ใหญ่
ส่งเสริมให้มีการปลูกข้าวโพดพบพื้นที่มหาศาลหลายหมื่นไร่ทางภาคเหนือ
ทำให้ชาวไร่จำเป็นต้องเผาไร่หลังจากเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกครั้งต่อไป
ยิ่งพื้นที่ราบทางภาคเหนือหลายแห่งที่เป็นแหล่งอาศัยของผู้คนมีสภาพเป็นแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูง
ทำให้หมอกควันพิษระบายออกได้ยาก มลพิษทางอากาศจึงเกิดการสะสมตัวในปริมาณมากระดับ PM 2.5
จึงสูงขึ้นผิดปกติในช่วงนี้ เป็นอันตรายต่อสุขภาพคนทั่วไป
PM ย่อมาจาก “particulate matter” คือฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว ขนาดไม่เกิน2.5 ไมครอน
เล็กกว่า 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์
เล็กมากจนขนจมูกหรือหน้ากากอนามัยสีเขียวทั่วไป ไม่สามารถกรองละอองพิษได้
จึงสามารถหลุดเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ถุงลมในปอดและกระแสเลือด
โดยตรงก่อโรคระบบทางเดินหายใจ หลอดเลือด หัวใจและมะเร็งในระยะยาว
ดัชนีคุณภาพอากาศตามมาตรฐาน ฝุ่นละออง PM 2.5
ไม่ควรจะเกิน 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรตามมาตรฐานโลกถึงจะปลอดภัย
(แต่กรมควบคุมมลพิษใช้มาตรฐาน ไม่เกิน 50 ไมโครกรัม เพราะต้องเอาเรื่องเศรษฐกิจมาคำนวณด้วย
แสดงว่าร่างกายคนไทยแข็งแรงกว่าชาวโลกโดยปกติ)
แต่หลายแห่งในภาคเหนือ ตรวจวัด PM 2.5 มีค่าสูงเกือบ 200 มากกว่าระดับปกติเกือบ 8 เท่า
อันตรายขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนผู้มีอำนาจไม่ค่อยได้ใส่ใจมากนัก ที่จังหวัดเชียงใหม่
ชาวบ้านถึงประกาศว่า ตามหาคนหาย คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด
ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆในพื้นที่ไปดับไฟป่าตามมีตามเกิด จนต้องขอรับบริจาคเครื่องไม้เครื่องมือ
ข้าวปลา อาหาร หน้ากากกันพิษ จากชาวบ้านทั่วไป
ผู้เขียนประทับใจมากกับการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า
ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว และสถานีดับไฟป่า ที่ทำงานดับไฟป่าทั้งวันทั้งคืน
โดยมีชาวบ้าน ชาวอำเภอมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ทำงานอย่างเหนื่อยยาก เพราะไฟป่ามากเหลือเกิน เกินกำลังของคนจำนวนน้อย
ตกกลางคืนยังเห็นรอยไฟป่าลามไปตามภูเขาคดเคี้ยวเป็นทางยาว
คล้ายสร้อยคอสีแดงเพลิงตัดกับความมืดของรัตติกาล
เพื่อนเชียงดาวบอกว่า เป็นไฟป่าจากการเผาไร่ข้าวโพดแล้วลุกลามเข้าไปในป่า พอลมพัดแรง ก็ลามไปอย่างรวดเร็ว ยากลำบากในการควบคุมไฟป่า เพราะพื้นที่ป่าบางแห่งเป็นหน้าผาสูงชัน
ไฟป่าภาคเหนือปีนี้มากจริง ๆ
แต่รัฐบาลก็ไม่ได้สนใจที่จะกระตุ้นหรือเร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทำงาน
เพราะทุกลมหายใจตอนนี้ไม่ใช่เรื่องหมอกควันพิษ แต่เป็นลมหายใจแห่งอำนาจ
ว่ารัฐบาลชุดนี้จะได้ชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่
ชาวบ้านโดยรวมก็เดือดร้อนก่อนใคร ปล่อยให้ทุกอย่างไปตามยถากรรมจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่สิทธิในการสูดอากาศบริสุทธิ์เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์
ที่ผ่านมารัฐบาลไทยทุกยุคทุกสมัยไม่เคยยอมรับว่า มลพิษทางอากาศเป็นวิกฤติใหญ่ที่ต้องรีบแก้ไข
หากใช้วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อย ๆ อาทิ ขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ฉีดน้ำ
รอให้ฝนตก หรือให้ไฟป่าหมดไปเอง
พอมีข่าวใหญ่ออกทางสื่อวิจารณ์รัฐบาลว่าไม่ทำอะไร ก็จัดอีเว้นท์ขึ้นทันที
มีภาพระดมเจ้าหน้าที่ออกดับไฟป่า
พอไม่มีคนโวยวาย ข่าวหมดไป ก็เงียบ
สนใจแต่การหาเสียงเลือกตั้ง และตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป
รัฐบาลไทยไม่เคยสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างถ่องแท้ ใช้วิธีลูบหน้าปะจมูกมาโดยตลอด
ไม่เคยมีมาตรการระยะยาวใด ๆ ออกมา
อย่าโทษใครเลย นอกจากตัวเอง ที่ไม่รู้จักออกมาปกป้องสิทธิการหายใจของตัวเอง
ขอขอบคุณ แหล่งภาพ จากชาวเชียงใหม่ที่ไม่ประสงค์ออกนามหลายท่านครับ
หมายเหตุ
กลุ่มม่วนใจ๋ และภาคีเครือข่าย รักษ์ล้านนา เขียวสดใส แก้งค์ถิ่นนิยม
ขอรับบริจาควัสดุ อุปกรณ์ เพื่อสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่สถานีควบคุมไฟป่าเชียงดาว ดังนี้
- หน้ากากอนามัย
- ถุงมือผ้า
- อาหารแห้ง (สะดวกในการกิน)
- ข้าวสาร
- เกลือแร่ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
- เงินบริจาค เพื่อจัดซื้อชุดป้องกันไฟ /เครื่องเป่าใบไม้/และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ
เลขที่บัญชี 471-2-41062-6 ธ.กสิกรไทย น.ส.ชลธิชา ชูจิตร
ติดต่อร่วมสนับสนุนสิ่งของ
คุณธีรวัฒน์ เสื้อมา
ม่วนใจ๋ | กลุ่มเกษตรอินทรีย์วิถีธรรมชาติเชียงดาว
182 หมู่ 5 ต.เมืองงาย อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ 50170
โทร. 095-496-2556