ครั้งหนึ่งกับป๋วย อึ๊งภากรณ์

200px-Puey_work

 

9 มีนาคม 2562 นี้ ถ้าอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มีชีวิตอยู่ จะมีอายุครบรอบ 103 ปี

ท่านจากแผ่นดินไปแล้ว 20 ปี

 

อาจารย์ป๋วยเกิดเมื่อวันที่9 มีนาคม 2459 ไม่เคยมีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ

มีตำแหน่งสูงสุดในอาชีพราชการ คือ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

และอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

แต่ชีวิตของท่านกลายเป็นตำนานที่ผู้คนกล่าวขานกันตั้งแต่เมื่อท่านมีชีวิตอยู่จนกระทั่งเสียชีวิตไปแล้ว

 

ผมรู้จักชื่อกับตัวจริงของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ตั้งแต่เป็นนักเรียนอัสสัมชัญชั้น ป. 2-3

จำได้ว่าแต่ละปีหลังจากประกาศผลสอบไล่ปลายปีแล้ว

ทางโรงเรียนจะเชิญศิษย์เก่าดีเด่นและทำคุณประโยชน์ให้สังคมไทย

มาแจกประกาศนียบัตรให้แก่นักเรียนเรียนดี คือสอบได้ 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป

เพื่อให้นักเรียนได้เห็นแบบอย่างที่ดีและเป็นแรงบันดาลใจในการศึกษาต่อในอนาคต

 

ปีนั้นทางอธิการของโรงเรียนได้เชิญนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ มาแจกรางวัล

ผมจำได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ใส่แว่นใจดี หน้าตาเหมือนคนจีนแบบอาป๊า

แต่ไม่รู้ว่าตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย มีหน้าที่ทำอะไร หรือใหญ่โตอย่างไร

รู้แต่ว่าเป็นศิษย์เก่าผู้รักโรงเรียนอัสสัมชัญมาก เวลาทางโรงเรียนเชิญให้มามอบรางวัล

ท่านไม่เคยปฏิเสธเลย

7

ในบรรดาศิษย์เก่าอัสสัมชัญ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ถือเป็นนักเรียนที่บรรดาครูบาอาจารย์

ภาคภูมิใจมากที่สุดคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ความรู้ ความสามารถ และความซื่อสัตย์สุจริต

 

ป๋วยไม่ใช่ลูกคนรวย พ่อแม่อพยพมาจากเมืองเถ่งไห้ ประเทศจีน บ้านเดียวกับอาป๊าของผม

ท่านขวนขวายจนเรียนจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์

จากมหาวิทยาลัย London School of Economics เกียรตินิยมอันดับ 1

 

ในช่วงที่กำลังเรียนหนังสือในประเทศอังกฤษ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2  ญี่ปุ่นบุกประเทศไทย

ป๋วยได้อาสาสมัครเป็นเสรีไทยทำงานต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น

และเป็นพลร่มเสี่ยงตายกระโดดลงมาบนแผ่นดินไทย เพื่อหวังมาส่งข่าวลับให้นายปรีดี พนมยงค์

อดีตผู้สำเร็จราชการและหัวหน้าขบวนการเสรีไทย

อันเป็นขบวนการใต้ดินที่ต่อต้านญี่ปุ่นจนถูกจับได้เป็นเชลยศึก

ต่อมาเมื่อสงครามสงบได้รับการประดับยศเป็นพันตรีแห่งกองทัพบกอังกฤษ

เมื่อท่านกลับมาได้เข้ารับราชการในกระทรวงการคลัง เป็นคนเก่งและมีชื่อเสียงจากความซื่อสัตย์สุจริต

ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้มีอำนาจในสมัยนั้น จนก้าวสู่ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

เมื่ออายุเพียง 43 ปี และกลายเป็นตำนานของคนที่นั่นมาจนถึงปัจจุบัน ในฐานะผู้วางรากฐานระบบการเงินและการพัฒนาเศรษฐกิจสำคัญของชาติ

 

เมื่อท่านได้รับการชักชวนให้มาก่อตั้งคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยที่ให้การศึกษาแก่ท่าน

ตามระเบียบของกรมข้าราชการพลเรือนสมัยนั้น หากทำงาน 2 แห่ง

จะต้องรับเงินเดือนเต็มแห่งหนึ่ง อีกแห่งรับครึ่งเดียว

ท่านจึงขอรับเงินเดือนเต็มในฐานะคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ คือ 8,000 บาท

และรับเงินเดือนจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาติครึ่งหนึ่ง คือ 25,000 บาท

แทนที่จะทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติกัน คือรับเงินเดือนเต็มจากงานที่ได้เงินมากที่สุด

 

ตอนผมอยู่ชั้น ม.ศ.3 ผมเป็นสมาชิกค่ายอาสาพัฒนาของโรงเรียน

และได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปประชุมเรื่องการพัฒนาชนบท  ผมคงจะอายุน้อยที่สุด

เจ้าภาพเลยให้นั่งติดกับอาจารย์ป๋วย ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

และสนใจการพัฒนาชนบทมาโดยตลอด ยังจำภาพท่านถลกแขนเสื้อเชิ้ตสีขาว

ใส่แว่น บางครั้งพ่นควันบุหรี่ปุ๋ยๆ ติดตาได้ดี

หลังจากนั้นไม่นานเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ท่านต้องหนีออกนอกประเทศ

สามปีต่อมาผมเป็นน้องใหม่ วันแรกที่เข้าธรรมศาสตร์ ตรงประตูท่าพระจันทร์

มีป้ายหนึ่งขยายลายมืออาจารย์ป๋วยเขียนด้วยมือซ้ายโย้ไปเย้มาเพราะท่านไม่สบาย

พูดไม่ได้ มือขวาเป็นอัมพาต เป็นข้อความกล่าวต้อนรับเพื่อนใหม่สั้นๆ

แต่สะเทือนใจคนอ่านเป็นยิ่งนัก

 

สมัยเป็นนักศึกษา ทุกปีเด็กกิจกรรมจะช่วยกันเขียนจดหมายเล่าเรื่องต่างๆ

ภายในมหาวิทยาลัยส่งไปให้ท่านที่บ้านพักในประเทศอังกฤษ

และขออนุญาตให้ท่านเขียนข้อความสั้นๆ ให้เพื่อนใหม่

ซึ่งท่านก็ไม่ปฏิเสธ ส่งข้อความสั้นด้วยมือซ้ายมาให้เสมอ

 

ความอยุติธรรมที่ท่านได้รับจากรัฐบาลเผด็จการในเวลานั้นฝังใจ

และเป็นแรงบันดาลใจหนึ่งที่ทำให้ผมกลายเป็นนักกิจกรรมเต็มตัว

 

เมื่อผมจบออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย และได้มาร่วมงานกับนิตยสาร สารคดี 

พอถึงฉบับเดือนตุลาคม 2529 ทางกองบรรณาธิการคิดว่าน่าจะทำเรื่องรำลึกถึง

อาจารย์ป๋วยผู้ลี้ภัยจากเมืองไทยไปครบ 10 ปี  ผมได้รับมอบหมายให้ทำสกู๊ปเรื่องนี้

เพื่อบันทึกว่าชีวิตของท่านในแดนไกลเป็นอย่างไร

เพราะที่ผ่านมาไม่มีสื่อใดๆ รายงานเรื่องราวของท่านในที่สาธารณะเลย

จากบรรยากาศทางการเมืองสมัยนั้นยังมีกลิ่นอายฝ่ายขวาพิฆาตฝ่ายซ้าย

เนื่องจาก สารคดี ให้ความสำคัญกับภาพมาก ผมเลยติดต่อคุณปีเตอร์ อึ๊งภากรณ์

ลูกชายคนกลางที่เป็นช่างภาพด้วย ในการนำภาพถ่ายของอาจารย์ที่ประเทศอังกฤษ

มาเผยแพร่ให้คนได้รับทราบเป็นครั้งแรก และปรากฏการณ์ครั้งนั้นทำให้ สารคดี

หมดแผงในเวลารวดเร็ว เริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนหลังจากออกจำหน่ายได้ปีกว่าๆ ว่า

หนังสืออะไร ช่างกล้าดีแท้

 

ปี 2530 อาจารย์ป๋วยได้กลับมาเยี่ยมเมืองไทยเป็นครั้งแรก

 

ผมได้ไปรอต้อนรับท่านที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เช่นเดียวกับลูกศิษย์ลูกหาที่ถือป้ายมีข้อความว่า

“ปลื้มใจนักเตี่ยกลับบ้าน” “ลูกโดมมิลืมเลือนอาจารย์ป๋วย”

“ยังข้นและยังเข้ม ดุจเกลือเค็มในแผ่นดิน ดีกว่าน้ำปลาริน อันปรุงรสละลายหาย”

 

ที่บริเวณหน้าตึกโดม ไม่มีแถวกองเกียรติยศคอยต้อนรับ ไม่มีบริวารคอยคุ้มกัน

มีเพียงชายชราใจดีผู้หนึ่ง ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้ใด

ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ให้คนกลัวเกรง กำลังถูกห้อมล้อมด้วยผู้คนนับร้อยนับพันจากทั่วสารทิศ

ซึ่งมาให้กำลังใจบุคคลอันเป็นที่รักผู้ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจมานานนับ 10 ปี

 

เมื่ออาจารย์มีอายุครบ 80 ปีใน พ.ศ.2539 สารคดี ได้รายงานเรื่องราวเกี่ยวกับตัวท่านเป็นหน้าปกอีกครั้งหนึ่ง

รวมถึงการเปิดใจสัมภาษณ์ จอมพล ถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เคยเป็นคู่ขัดแย้งกัน

ท่านได้พูดถึงอาจารย์ป๋วยเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ตอนหนึ่งว่า

 

“เมื่อผมได้หนีออกนอกประเทศไปพักที่สิงคโปร์ ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

คุณป๋วยได้แสดงน้ำใจไปเยี่ยมเยียน……..

อาจารย์ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีความสามารถมาก

ท่านได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ และสติปัญญาทุกอย่าง

ผมเคยเชิญท่านมาเป็นรัฐมนตรีด้วย แต่ท่านไม่ขอรับตำแหน่ง

ท่านเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา”

puey_in_tumsart

6 สิงหาคม 2542 มีโทรสารจากประเทศอังกฤษฉบับหนึ่งแจ้งข่าวการเสียชีวิตของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์

ด้วยโรคเส้นโลหิตใหญ่ในช่องท้องโป่งแตกด้วยวัย 83 ปี และได้ทำการเผาศพเรียบร้อยแล้ว

ตามความประสงค์ของท่านที่เคยเขียนไว้ว่า

“ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน

และอย่าทำพิธีรีตองในงานศพให้วุ่นวายไป”

 

วันนั้น

บุคคลที่ซื่อสัตย์พอที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นซื่อสัตย์ตาม

ข้าราชการตัวอย่างที่กล้าคัดค้านและกล้ายืนหยัดเพื่อความถูกต้อง

ผู้ใหญ่ผู้เห็นใจและเข้าใจปัญหาของผู้ยากไร้และคนยากคนจน

นักวิชาการที่เป็นมิ่งขวัญของนักวิชาการทุกคน ผู้เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตย

ด้วยวิญญาณและการกระทำ

ผู้ใฝ่สันติที่สอนให้คนต่อสู้เพื่อเสรีภาพและสังคมอันเป็นธรรมด้วยสันติวิธี

ได้จากพวกเราไปแล้ว

 

 

หลายวันต่อมาผมอยู่บนเรือหลวง กระบุรี แห่งราชนาวีไทย ร่วมกับผู้คนจำนวนมาก

เพื่อนำอังคารของอาจารย์ป๋วยไปลอยทะเลบริเวณใกล้เกาะคราม

ทหารกองเกียรติยศทำความเคารพอดีตเสรีไทยและสามัญชนผู้ยิ่งใหญ่

เมื่ออังคารถูกโปรยลงสู่ท้องทะเล

 

เสียงแตรนอนดังขึ้น  คนบนเรือต่างโปรยดอกกุหลาบสีแดงเป็นการแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

 

บราเธอร์จอห์น แมรี อดีตครูเพื่อนร่วมงานของป๋วยที่โรงเรียนอัสสัมชัญ

ได้เคยบอกผมในวันที่ทางโรงเรียนอัสสัมชัญได้จัดงานไว้อาลัย

และพิธีมิสซาให้แก่ศิษย์เก่าท่านนี้ว่า

 

“ในบรรดาผู้คนบนโลกนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เปรียบเสมือน

คนถือคบไฟคอยส่องแสงสว่างนำทางให้แก่ผู้คน

อาจารย์ป๋วยเป็นคนหนึ่งผู้ถือคบไฟส่องสว่างให้คนรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไป

…สัตบุรุษเช่นนี้เราจะลืมไม่ได้”

P130

One thought on “ครั้งหนึ่งกับป๋วย อึ๊งภากรณ์

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s