ในอดีตที่ผ่านมา มีสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ที่ได้รับการขนานนามว่า
“สงครามที่พี่น้องฆ่ากันเอง”
นั่นคือสงครามกลางเมืองในประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้
ที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2404 เพราะญาติพี่น้อง มิตรสหายที่เป็นคนอเมริกันเหมือนกัน
ต่างแบ่งเป็นสองฝ่าย จับอาวุธปืนเข้าประหัตประหารกันเอง
ประธานาธิบดีของทั้งสองฝ่ายก็เกิดในรัฐเคนทักกี้ด้วยกัน
ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นที่อยู่ฝ่ายเหนือก็มีพี่เขยเป็นทหารของฝ่ายใต้ถึง 4 คน
และ 1ใน4 ของทหารที่จบจากโรงเรียนนายร้อยเวสปอยต์ก็เป็นนายทหารของฝ่ายใต้
สงครามดำเนินไปประมาณสี่ปี คนอเมริกันฆ่ากันตายไปประมาณ 6 แสนคน
ไม่นับรวมคนบาดเจ็บที่ต้องตัดแขน ตัดขาอีกหลายแสนคน กว่าฝ่ายใต้จะประกาศยอมแพ้
มากกว่าทหารสหรัฐอเมริกันที่เสียชีวิตในสงครามโลกทั้งสองครั้งและสงครามเวียดนามรวมกัน
และเป็นสัดส่วนการตายที่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบจากประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกาขณะนั้น
ที่มีประมาณ 30 ล้านคน
และค่าเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3แสนล้านบาท (มูลค่าเมื่อร้อยกว่าปีก่อน)
ถือเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมืองครั้งร้ายแรงที่สุดของประเทศนี้
ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคิดว่า เมื่อตอนเริ่มเกิดสงครามใหม่ ๆ
เหตุการณ์จะลุกลามใหญ่โตและสร้างความย่อยยับให้กับประเทศถึงเพียงนี้
บรรยากาศทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
ระหว่างประชาชนของรัฐฝ่ายเหนือกับรัฐฝ่ายใต้ที่สะสมกันมานานหลายสิบปี
รัฐทางเหนือมีประชากรประมาณ 22 ล้านคน เป็นคนมีรายได้จากการประกอบอุตสาหกรรมเป็นหลัก
ไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานทาส
ขณะที่รัฐทางใต้มีประชากรประมาณ 9 ล้านคน
ส่วนใหญ่มีรายได้จากการทำเกษตรกรรม จึงต้องใช้แรงงานทาสเพื่อการเพาะปลูก
คนทางใต้มักเป็นผู้ดีเก่าที่อพยพมาจากยุโรป เป็นเจ้าของที่ดินมหาศาล
มีความภูมิใจว่าเป็นผู้สร้างชาติมาตั้งแต่แรก
และมักดูถูกพวกคนทางเหนือว่าเป็นพวกนายทุน พวกคนรวยรุ่นใหม่
แต่อดีตเคยเป็นชนชั้นต่ำมาก่อน
แต่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศใช้ในปีพ.ศ. 2330 ได้ระบุว่าทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน
จึง ได้เขียนไว้ในบทเฉพาะกาลว่า “อเมริกาจะต้องเลิกการค้าทาสให้หมดไปภายในกำหนด 21 ปี”
พอครบกำหนด รัฐบาลกลางได้ออกกฎหมายเลิกการค้าทาส
แต่ผู้คนในรัฐทางใต้ยังเพิกเฉย
ความขัดแย้งในสังคมจึงได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง
คนทางใต้ยิ่งนำเข้าทาสจากทวีปแอฟริกาเพิ่มขึ้นจาก 6 แสนคนเป็น 4 ล้านคนภายในเวลาอันรวดเร็ว
คนทางเหนือพากันประณามความไร้มนุษยธรรม
ขณะที่คนทางใต้ ซึ่งเป็นคนเคร่งศาสนาก็ตอบโต้ว่า
ไม่มีข้อห้ามในศาสนา และพวกเขาปฏิบัติต่อทาสเหล่านี้ด้วยความเมตตา
นักการเมืองทางใต้ก็พากันต่อต้านกฎหมายเลิกทาส
เพราะรู้แน่ว่าจะส่งผลสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจของฝ่ายใต้
บรรดาสส.ในสภาต่างฝ่ายต่างก็โหวตให้กับผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเอง
สื่อมวลชนก็เริ่มเลือกข้าง หนังสือพิมพ์จากรัฐทางเหนือ ไม่สามารถมาขายรัฐทางใต้ได้
เช่นเดียวกับหนังสือพิมพ์จากรัฐทางใต้ก็ไม่สามารถมาขายในรัฐทางเหนือได้อีกต่อไป
แม้กระทั่งตราชั่งแห่งความยุติธรรมก็เอียง
ศาลสูงสหรัฐที่เป็นคนใต้ หรือคนเหนือบางคน
ก็เริ่มตัดสินคดีความตามผลประโยชน์ของฝ่ายตัวเองเป็นหลัก
ในที่สุดเมื่อลินคอล์น แห่งพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
ฝ่ายใต้ที่ประกอบด้วย 11 รัฐก็ประกาศแยกประเทศ ไม่ขึ้นต่อรัฐบาลกลางอีกต่อไป
และบุกโจมตีป้อมทหารแห่งหนึ่งของทหารฝ่ายเหนือ จนลุกลามเป็นสงครามกลางเมือง
ประธานาธิบดีลินคอล์นประกาศระดมทหารเข้าสมรภูมิ 2 ล้านกว่าคน
ขณะที่ทหารฝ่ายใต้มีกำลังเพียง 1 ล้านคนเศษ
สงครามครั้งนี้มีการผลิตอาวุธที่ใช้สังหารผู้คนทีละมาก ๆ อาทิปืนกล ระเบิด เรือดำน้ำ
รวมไปถึงปืนโคลต์ .45 ปืนสั้นที่มีชื่อเสียง
มีการรบกันแทบทุกวัน นับรวมได้สองพันกว่าครั้ง
และครั้งที่โหดร้ายที่สุดคือสมรภูมิเกเตสเบิร์ก มีคนตายรวดเดียว 4 หมื่นกว่าคน
ประธานาธิบดีลินคอล์นได้เดินฝ่ากระสุนมาเยี่ยมผู้บาดเจ็บ
และกล่าวสุนทรพจน์ด้วยความสะเทือนใจที่เห็นพี่น้องชาติเดียวกันต้องมาฆ่ากันตาย
“ เราได้ตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ว่า
ทหารทั้งหลายที่เสียชีวิตนี้จะไม่ตายอย่างไร้ค่า
เพราะประเทศชาตินี้ภายใต้พระหัตถ์ของพระเจ้าจะได้ก่อกำเนิดเสรีภาพครั้งใหม่
และรัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน จะไม่สูญสลายไปจากโลก”
ไม่นานนัก ทหารฝ่ายเหนือก็เอาชนะทหารฝ่ายใต้ได้อย่างเด็ดขาด
เพราะพลังทางเศรษฐกิจของฝ่ายเหนือที่แข็งแรงกว่า ประชากรที่มากกว่า
และอาวุธเทคโนโลยีอันทันสมัยกว่า
ทิ้งความย่อยยับของสงครามให้คนในประเทศได้เยียวยากันอีกหลายสิบปี
เพราะไม่มีใครคาดคิดตอนเริ่มสงครามว่า
จะมีผู้คนล้มตายมากมาย และประเทศพังพินาศถึงเพียงนี้
หลายปีก่อน ผมมีโอกาสไปรัฐเวอร์จิเนีย ไปเยี่ยมสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า นิวมาร์เก็ต
เป็นทุ่งหญ้าหลายพันไร่ ในอดีตคือสมรภูมิรบอันดุเดือดแห่งหนึ่ง
ยังเห็นร่องรอยของโรงนาที่เป็นโรงพยาบาลสนาม
ปืนใหญ่ของทหารทั้งสองฝ่ายที่ยังตั้งประจันหน้ากันอยู่เป็นอนุสรณ์เตือนความทรงจำให้คนรุ่นหลัง
ณ สมรภูมิแห่งนี้ นักเรียนโรงเรียนนายร้อยเวอร์จิเนียของฝ่ายใต้ประมาณ 200 คนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่
ได้ออกจากห้องเรียนกระทันหัน พร้อมอาวุธปืนมุ่งหน้าสู่นิวมาร์เก็ต
เมื่อทราบข่าวว่ากองทหารฝ่ายเหนือได้ยกทัพใกล้เข้ามา
นักเรียนเหล่านั้นไม่เคยได้กลับเข้าห้องเรียนอีกเลย
ร้อยกว่าปีผ่านมา เราเรียนรู้ว่า
ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย