ความเจ็บปวดของสืบ นาคะเสถียร

DVzavQgV4AMBFQ0

คนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า

“ความตายเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาเพื่อให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวด

ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความเจ็บปวดทางร่างกาย อาจเป็นความรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ

แล้วเราก็หยิบสิ่งที่ธรรมชาติให้มาหยุดยั้งความเจ็บปวดนั้น”

 

แล้วอะไรที่ทำให้พี่สืบเจ็บปวดหัวใจขนาดนั้น

Continue reading “ความเจ็บปวดของสืบ นาคะเสถียร”

กินไส้กรอกสะเทือนถึงไฟป่าแอมะซอน

maxresdefault

หากอเมริกาเหนือมีทรัมป์ที่ไม่สนใจปัญหาโลกร้อน แถมยังสนับสนุนให้โลกร้อนขึ้น

อเมริกาใต้ก็มีประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู แห่ง

 

ที่สนับสนุนให้ทำลายป่าแอมะซอนเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ถั่วเหลือง

จนเกิดไฟป่าลุกลามไปทั่ว

อวสานของโลกมาเร็วจริงๆ Continue reading “กินไส้กรอกสะเทือนถึงไฟป่าแอมะซอน”

ทำบุญที่แท้จริง

deepsnews_1526601615_3005
ภาพ deepsnews

ผมเคยสงสัยว่า ทำไมคนไทยจึงมักบริจาคเงินให้กับวัดหรือพระสงฆ์

มากกว่าบริจาคเงินช่วยเหลือคนด้อยโอกาสกว่า

ต่อมาจึงพอเข้าใจว่า เพราะคนไทยจำนวนมากมีความเชื่อว่า

หากคิดจะทำบุญ ควรจะบริจาคเงินกับคนที่มีบุญ วัดชื่อดัง หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ทำบุญแล้วจะเป็นการเพิ่มบุญกลับมาหาตัวเองมาก ๆ

ชัดเจนว่าเป้าหมายเหล่านี้ คือวัดและพระสงฆ์

คนไทยจึงมักไปทำบุญ และบริจาคเงินให้วัด Continue reading “ทำบุญที่แท้จริง”

หมอกควันพิษในไทยกับไฟป่าอเมซอน คือเรื่องเดียวกัน

maxresdefault

 

ปัญหาไฟป่าในป่าอเมซอน ที่กำลังลุกไหม้ขณะนี้

ต้นเหตุของปัญหาคงไม่ต่างจาก ปัญหาหมอกควันพิษจากไฟป่าในเมืองไทยเมื่อต้นปีเลย

สาเหตุคือ การบุกรุกป่า เผาป่า เปลี่ยนพื้นที่เป็นไร่ข้าวโพด ไร่ถั่วเหลือง

เพื่อเป็นอาหารสัตว์

ให้มนุษย์กินอีกที Continue reading “หมอกควันพิษในไทยกับไฟป่าอเมซอน คือเรื่องเดียวกัน”

ทำไมชุมชนเล็ก ๆในสุรินทร์ แก้ปัญหาน้ำแล้งได้

social-beautiful-surin-5

ฤดูฝนปีนี้ อีสานขาดแคลนน้ำอย่างหนัก

ฝนทิ้งช่วงมานาน ขณะที่ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำก็แทบจะเหลือก้นอ่าง

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองวิ่งกันพล่าน แต่ปัญหาก็แก้ได้ยากเย็นเหลือเกิน

สุรินทร์เป็นจังหวัดที่ประสบปัญหาภัยแล้งอันดับต้น ๆของประเทศมานานแล้ว

ปีนี้ก็เช่นกัน

เกือบทุกปีสุรินทร์จะได้รับการประกาศเป็น จังหวัดที่ประสบภัยแล้งจัด

เป็นปัญหามานานที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างจริงจัง

ชาวบ้านประกอบอาชีพทำนา ทำไร่ ฐานะค่อนข้างยากจน

โดยเฉพาะหน้าแล้งไม่สามารถปลูกพืชได้จากการขาดแคลนน้ำ

และพอเข้าหน้าฝนหาก ปีไหนโชคร้ายฝนทิ้งช่วง ไร่นาก็อาจล่มสลาย เช่นเดียวกับปีนี้

แต่เชื่อหรือไม่

ชุมชนแห่งหนึ่งในสุรินทร์  ไม่เคยขาดน้ำตลอดทั้งปี Continue reading “ทำไมชุมชนเล็ก ๆในสุรินทร์ แก้ปัญหาน้ำแล้งได้”

ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป

 ตุลาคม ค.ศ. 1877 รัฐบาลสหรัฐฯ บังคับให้อินเดียนเผ่าเน็ซเพอร์ซ

อพยพออกจากบริเวณหุบเขาวัลโลวา

ที่พวกเขาอาศัยอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน ให้ไปอยู่ในเขตสงวนแลปไว ที่ทางการจัดให้

แต่โจเซฟหัวหน้าเผ่าเน็ซเพอร์ซ

ปฏิเสธที่จะอพยพออกไปจากดินแดน ของพ่อแม่พวกเขา

รัฐบาลคนขาวจึงส่งนายพลโฮเวิร์ด พร้อมกำลังทหารมาจัดการกับ

เผ่าเน็ซเพอร์ซ Continue reading “ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป”

เสาหลัก

เวลาเดินป่า

ชอบแหงนหน้ามองยอดไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขา

ให้ความร่มรื่นย์และที่พักพิงของสรรพสิ่งใต้ร่มไม้

ในป่ามักมีต้นไม้ใหญ่มากมายเสาหลัก

แต่สังคมมนุษย์

มักไม่ค่อยมีใครอยากเปลืองตัวเป็นเสาหลัก

ป่าฮาลา-บาลา กับ จุมพิตเลือด

IMG-5767

หากถามนักเดินป่าว่า

ป่าแห่งในเมืองไทยอยากไปมากที่สุด

ป่าฮาลา-บาลา ใต้สุดแดนสยาม

น่าจะเป็นหนึ่งในสุดปรารถนาของนักนิยมไพร

ชื่อก็ลึกลับ อยู่ในพื้นที่เสี่ยงอันตราย

ยิ่งทำให้ป่าฝนแห่งนี้มีเสน่ห์ชวนค้นหา

Continue reading “ป่าฮาลา-บาลา กับ จุมพิตเลือด”

อ่อนโยน

 

 

เป็นคำที่ผมชอบมาตั้งแต่เด็ก

คำนี้ฟังแล้ว ไม่ได้อ่อนแอ แต่ไม่แข็งกร้าว.

นึกถึงคำนี้ทีไร

เหมือนมีอะไรมาสะกิดหัวใจ

ให้ลดความหยาบกร้านลง

เหมือนมีอะไรมาสะกิด

ให้คิดอะไรด้วยหัวใจมากกว่าอารมณ์และเหตุผล

 

คำนี้หล่นหายไปนานมาก

คำนี้เราลืมไปนานแล้ว

ตั้งแต่ speed of time และ hate speech ครองเมือง

cropped-2557-01-02-14-37-25-dsc_0857-1.jpg

วิจารณญาณ

 

ผมเป็นคนชอบคำนี้มาก วิจารณญาณ [วิจาระนะยาน]

ความหมายคือ “ปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้องได้”

 

วิธีนี้อาจช้า ต้องใช้เวลาและสติปัญญาครุ่นคิดสักพัก

กว่าจะสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้

 

แต่อาจไม่ทันใจผู้คนในโลกสมัยใหม่

ที่ต้องการความเร็วสูงสุดเป็นที่ตั้ง

ต้องการรู้คำตอบทุกอย่างรวดเร็วทันใจ

 

แต่หากสังคมเราใช้คำ ๆนี้ให้มาก

ชีวิตคงน่าอภิรมย์และสงบสุขมากกว่านี้

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
OLYMPUS DIGITAL CAMERA

พ่อแม่คือพระอรหันต์

 

mom-son2

พ่อแม่ของผู้เขียนครองชีวิตด้วยกันมา 60กว่าปี

ก่อนที่พ่อจะลาจากไปเมื่อสามปีก่อน

ผู้เขียนมองย้อนกลับไปในอดีต

แทบไม่น่าเชื่อว่า

พ่อแม่เป็นชนชั้นกลาง มีลูกถึงเจ็ดคน จะสามารถเลี้ยงดูลูก ๆมาได้อย่างไร

ทั้ง ๆ ที่ฐานะทางเศรษฐกิจก็ย่ำแย่ Continue reading “พ่อแม่คือพระอรหันต์”

รำลึกนางาซากิ คนตายเขียนไม่ได้ แต่คนเขียนได้ตายทั้งเป็น

 

 

บริเวณกำแพงทางออกอาคารพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum )

มีภาพถ่ายขาวดำเด็กชายแบกทารกไว้ที่หลัง

ได้ตรึงผู้เขียนให้หยุดดูนาน

ก่อนออกจากสถานที่จัดแสดงเรื่องราวความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง

ที่มีต่อชาวเมืองนางาซากิ จากการทิ้งระเบิดปรมาณูของทหารอเมริกัน เมื่อ 74 ปีก่อน

ภาพถ่ายนี้เป็นหนึ่งในสัญญลักษณ์ความทุกข์เวทนา

สะเทือนใจผู้พบเห็น และบอกอารมณ์ความรู้สึกของสงครามอย่างหมดจด

Joe O’Donnell ช่างภาพสงครามชาวอเมริกันผู้ถ่ายภาพนี้ได้ในเมืองนางาซากิ ในปีค.ศ. 1945

ภายหลังญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม

เขาให้สัมภาษณ์เบื้องหลังภาพนี้ว่า

“เมื่อผมเดินทางมาถึงเมืองนางาซากิ ผมเห็นผู้คนอุดจมูกด้วยผ้าขาว

กำลังเผาซากศพจำนวนมากในหลุมขนาดใหญ่

สักพักผมเห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบขวบกำลังเดินมา

เขาแบกเด็กทารกคนหนึ่งบนหลัง

ดูเหมือนเป็นภาพปกติที่จะเห็นพี่ชายแบกน้องตัวเล็กขึ้นหลังเดินไปมา

แต่ภาพของเด็กคนนี้แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

เด็กเดินตีนเปล่ามาที่เผาศพ

มีทารกบนหลังหงายศีรษะขึ้น ราวกับเพิ่งหลับ

เขาเดินมาถึงปากหลุม และจ้องมองลงไปอย่างสงบ

เด็กชายยืนนิ่งเกือบสิบนาที

จนมีชายคนหนึ่งเดินมาหา ค่อย ๆ ปลดเชือกที่คล้องตัวทารกออกมาจากหลังเด็กชาย

ผมเข้าใจทันทีว่าทารกตายแล้ว

และเอาร่างทารกไปวางบนกองฟืนที่กำลังลุกโชน

ไฟลามศพทารก เสียงเผาศพดังเป็นระยะ

เด็กชายยืนนิ่งเงียบมองเปลวไฟราวกับไร้วิญญาณ

ผมสังเกตเห็นริมฝีปากมีสีแดง

เด็กน้อยกัดริมฝีปากล่างจนเลือดหยดออกมา

เขายืนอยู่ตราบจนไฟไหม้ศพน้องชายของเขาจนเป็นเถ้าหมด

ดวงอาทิตย์กำลังลับฟ้า แล้วเขาเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ”

9 สิงหาคม 1945 ระเบิดปรมาณูได้ระเบิดเหนือเมืองนางาซากิ

สามวันหลังจากระเบิดลูกแรกได้ถล่มเมืองฮิโรชิม่า มีคนตาย 140,000  คน

เพื่อบีบบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามกับสหรัฐอเมริกา

หลังจากการโจมตีทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ  67 เมืองของญี่ปุ่น

อย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึงหกเดือน

เพราะกองทัพสหรัฐอเมริกาประเมินแล้วว่า

หากใช้กองทหารบุกเกาะญี่ปุ่น อาจจะถูกต่อต้านอย่างหนัก

และต้องสูญเสียทหารอเมริกันนับล้านคน

แนวทางที่สูญเสียชีวิตทหารน้อยกว่า คือการทิ้งระเบิดปรมาณูเป้าหมายทางพลเรือน

เพื่อข่มขวัญศัตรูว่า มีอาวุธมหาประลัย

แต่เมื่อทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาแล้ว กองทัพญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้

ภายใน Nagasaki Atomic Bomb Museum แสดงภาพเมืองนางาซากิภายหลังโดนระเบิดปรมาณู

ระเบิดปรมาณูลูกที่สองก็ตามมา

อันที่จริงนางาซากิไม่ใช่เป้าหมายหลักการทิ้งระเบิด

ทหารอเมริกันวางแผนว่าจะทิ้งเมืองโคคูระ

เช้าวันนั้นเครื่องบิน B-29 ได้บินไปเหนือเมือง ปรากฏว่ามีหมอกควัน

มองไม่เห็นเป้าหมายข้างล่างนักบินวนเหนือเมืองถึงสามรอบ แต่ทัศนวิสัยแย่มาก

จึงตัดสินใจเลือกแผนสำรองบินมาเป้าหมายที่สองคือนางาซากิ

นักบินได้ปล่อยระเบิดพลูโตเนียมที่มีอานุภาพทำลายสูงสุดออกจากเครื่องบิน เมื่อเวลา 11.02 น.

เวลานั้นนางาซากิมีพลเมืองประมาณ 240,000  คน

ระเบิดมหาประลัยทำให้มีผู้เสียชีวิต 70,000 กว่าคน บาดเจ็บนับแสนคน

และเมืองพังพินาศ ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยเกือบหมด

หลักฐานสำคัญชิ้นแรกเมื่อผู้เขียนเดินเข้าไปอาคารจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ

คือ ซากนาฬิกาแขวนเก่า ๆ เคยตั้งอยู่ห่างจากศูนย์การระเบิด 800  เมตร

เข้มสั้นชี้เลข 11 เข็มยาวชี้เลข 1 นาฬิกาหยุดเดินเวลา 11.05 น.เมื่อระเบิดได้กระทบพื้นดิน

11.05 เวลาหยุดโลก หยุดชีวิตชาวเมืองนางาซากิ

ผู้เขียนเดินดู ซากชิ้นส่วนสิ่งของต่างๆ ที่ยังหลงเหลือเป็นหลักฐาน

ข้อมูลเหตุการณ์ สาเหตุการเกิดช่วงเวลาเครื่องบินทิ้งระเบิดลงมา

ถ่ายภาพผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บและซากปรักหักพังของเมืองผู้รอดชีวิต

แต่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคลูคีเมีย(มะเร็งเม็ดเลือดขาว) จากพิษของสารกัมตภาพรังสี

และคำพูดแสดงความรู้สึกของชาวบ้าน ลูกเล็กเด็กแดง ที่ต้องมารับเคราะห์แทนผู้กระหายสงคราม

บางตอนมีคำพูดของผู้รอดตายว่า

“ ท้องทุ่งไหม้เกรียมเป็นสีแดงเพลิง

ไฟยังลุกไหม้ผู้คน
แม่ของฉัน อยู่ในกองเพลิง
พี่สาวของฉัน อยู่ในกองเพลิง
และมีเพียงเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่”

ซากู ชิโมฮิรา วัย 11 ขวบ

ภายใน Nagasaki Atomic Bomb Museum

“ขอให้ฉันกลับไปอยู่อดีตเถิด

ขอเพียงแค่ครั้งเดียว
ฉันต้องการแม่ ฉันต้องการพ่อ
ฉันต้องการพี่ชาย ฉันต้องการพี่สาว”

ฟูจิโอ ชึจิโมโต วัย 5 ขวบ

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่

ในวันที่นางาซากิโดนพิษร้ายของสารพลูโตเนียมอาบกินไปเกือบทั้งเมือง

โดยที่ชาวเมืองไม่ได้มีส่วนรับรู้ในการก่อสงครามเลย

แต่ต้องมาเป็นผู้รับเคราะห์ร้ายโดยตรง

ผู้รอดชีวิตจำนวนมาก ก็เหมือนกับตายทั้งเป็น

เมื่อคนในบ้านตายหมด

เหมือนอย่างหัวหน้าครอบครัวชื่อ อัทซูยูกิ มัทซูโอะ บันทึกไว้ว่า

“9 สิงหาคม นางาซากิ โดนระเบิดปรมาณู

ฉันมาถึงบ้านเมื่อพลบค่ำแห่งความตายมีใครอยู่ไหม

ภายใต้ซากปรักหักพัง

ฉันพบเมียบาดเจ็บสาหัส และศพลูกสองคนข้างถนน

เธอได้เล่าว่าลูกตายอย่างไร (อายุหนึ่งและสี่ขวบ)

เธอบอกว่าลูกของเราตายมีรอยยิ้มในอ้อมกอดของแม่

แม่วางลูกสองคนลงบนพื้น

เมื่อไม่มีอะไรมาหุ้มตัวลูก ฝูงแมลงวันก็บินมาไต่ตอม

ลูกชายคนโตอีกคนบาดเจ็บสาหัส

ก่อนจะตายตามไป

นอนตายอยู่ข้าง ๆ แม่

11 สิงหาคม ฉันรวบรวมกองฟืนเผาลูกทั้งสามคน

รุ่งขึ้นหมอกน้ำค้างยามเช้าได้ชำระเถ้าถ่านของลูกสามคนไปหมด

13 สิงหาคม เมียทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไปอีกคน

15 สิงหาคม ฉันเผาศพเธอ

วันเดียวกับที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม

หลังจากสูญเสียทุกสิ่ง ฉันยืนสงบนิ่ง

เมื่อระเบิดปรมาณูสี่ลูกซ้อน ระเบิดตัวฉัน ฉันจุดไฟเผาศพ

ให้เปลวไฟลุกไหม้ไปพร้อมกับคำยอมแพ้สงคราม”

คนตายเขียนไม่ได้ แต่คนเขียนได้ตายทั้งเป็น