เมื่อสิบกว่าปีก่อน ขณะที่ฝนถล่มกรุงเทพฯอย่างหนักรถติดกันทั้งเมือง ผมลุยน้ำท่วมออกจากบ้าน ไปขึ้นรถไฟฟ้า เพื่อตั้งใจไปดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ชื่อ “ยามาโต้ พิฆาตยุทธการ” ที่โรงภาพยนต์สยาม
คนที่สนใจประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 คงเคยได้ยินชื่อเรือ ํYAMATO ยามาโต้ เรือประจัญบานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่มนุษย์เคยสร้างมาจนถึงปัจจุบัน
มีระวางขับน้ำถึง 69,100 ตัน เปรียบเทียบกับเรือรบชื่อดังในขณะนั้น อาทิเรือรบมิสซูรีของสหรัฐอเมริกัน ที่มีระวางขับน้ำ 45,000 ตัน หรือเรือรบบิสมาร์คของเยอรมนีที่มีระวางขับน้ำ 42,000 ตัน
กองทัพเรือญี่ปุ่นภูมิใจกับเรือประจัญบาญลำมหึมาที่มีขนาดความยาว 250 เมตร มีป้อมปืนขนาด 460 มม.เรียงรายอยู่รอบลำเรือที่มีเกราะป้องกันตอปิโดหนาถึง 8 นิ้ว จนใคร ๆ คิดว่าเรือรบดังกล่าวจะไม่มีทางจมเด็ดขาด
เรือยามาโต้ได้ออกปฏิบัติการรบทางทะเลในภาคพื้นแปซิฟิกหลายครั้ง แต่ก็ไม่ค่อยแสดงฝีมือให้ประจักษ์นัก จนกระทั่งการรบครั้งสุดท้ายนอกเกาะโอกินาวา
ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่กองทัพสหรัฐอเมริกันกำลังบุกเข้ายึดเกาะโอกินาวา เรือยามาโต้ได้รับคำสั่งให้เข้าปฏิบัติการที่เรียกว่า KIKUSUI 1 ซึ่งแปลว่าดอกเบญจมาศลอยน้ำ โดยมีภารกิจให้ทำการล่อฝูงบินอเมริกันให้ออกจากน่านน้ำเกาะโอกินาวา เปิดโอกาสให้ฝูงบินกามิกาเซ่ของญี่ปุ่นบินฝ่าด่านป้องกันของฝูงบินอเมริกาเพื่อเข้าโจมตีกองทัพเรือ ปกป้องไม่ให้กองทัพสหรัฐยึดเกาะโอกินาวาได้
ปฏิบัติการของเรือยามาโต้เป็น “วันเวย์ทิกเก็ต” คือมีแค่น้ำมันเชื้อเพลิงเพียงแค่เที่ยวเดียวเท่านั้น ผู้บังคับการเรือทราบดีว่าการเอาเรือประจัญบาญมาล่อเครื่องบินหลายร้อยลำให้รุมกินโต๊ะนั้น โอกาสที่เรือจะไม่จมเป็นไปไม่ได้ ปฏิบัติการครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการส่งลูกเรือ 3,000 กว่าคนไปตายอย่างเดียว ไม่ต่างจากนักบินฝูงบินกามิกาเซ่ที่บรรทุกระเบิดขนาดหนักเพื่อบินเข้าชนเรือรบอเมริกาแบบเอาชีวิตเข้าแลก ดังนั้นภายหลังสงคราม เรือยามาโต้จึงได้รับฉายาว่า “ยักษ์ใหญ่แห่งกามิกาเซ่”
ฉากหนึ่งในภาพยนต์เรื่องนี้ มีฉากที่บรรดานายทหารประจำเรือยามาโต้ ได้กล่าววิจารณ์บรรดานายพลเสนาธิการผู้วางแผนการรบด้วยความเหลืออดว่า เป็นแผนการรบที่ต้องล้มเหลวแน่นอน ดีแต่วางแผนอยู่ในห้อง ไม่ยอมส่งเครื่องบินรบสักลำมาคุ้มกัน บรรดาเสธฯเหล่านี้ดีแต่ส่งลูกเรือไปตายอย่างไร้ค่า และหลบภัยสบายอยู่แต่ที่กรุงโตเกียว ไม่กล้าออกมาปฏิบัติการสักคนเดียว
เช้าวันที่ 6 เมษายน 1945 ผู้บัญชาการเรือได้สั่งให้ย้ายทหารผู้มีอายุเกินกว่า 40 ปีและมีครอบครัวขึ้นบก คงเหลือแต่บรรดาผู้ที่ยังไม่มีครอบครัว ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มและพร้อมจะเสียสละเพื่อมาตุภูมิ
สุดท้ายเมื่อเรือยามาโต้เดินทางยังไม่ถึงน่านน้ำโอกินาวา ฝ่ายสหรัฐสามารถจับสัญญาณวิทยุได้ จึงได้ส่งเครื่องบินโจมตี 380 ลำ รุมทิ้งระเบิดเรือยามาโต้เป็นเวลาเกือบสองวัน จนในที่สุดเรือยามาโต้ได้จมสู่ก้นทะเลพร้อมลูกเรือเกือบ 2,500 คน มีผู้รอดชีวิตเพียง 269 คนเท่านั้น
ก่อนจะเข้าชมภาพยนต์เรื่องนี้ ใคร ๆ ก็คิดว่ายามาโต้น่าจะเป็นหนังสงครามเลือดท่วมจอ แต่เอาเข้าจริงแล้วตลอดความยาว 2 ชั่วโมงกว่า มีฉากสงครามไม่ถึง 20 นาที
ยามาโต้เป็นภาพยนต์ที่เก็บรวบรวมข้อมูลจากคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น และสะท้อนให้เห็นถึงหัวอกของพ่อแม่ ญาติพี่น้อง คนรักและผู้อยู่แนวหลัง ที่ต้องส่งลูกชายของตัวเองไปรบว่าเจ็บปวดและทนทุกข์เพียงใด
ภาพยนต์เรื่องนี้บอกเราว่า ภายในเรือรบเหล็กลำมหึมา มีชีวิตจริง ๆของผู้คนตัวเล็ก ๆมากมายที่ยังไม่พร้อมจะตายในเยาว์วัย
ลูกเรือยามาโต้ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนวัย 15-16 ปีที่ต้องออกรบแล้ว เพราะบรรดาชายฉกรรจ์ล้วนอยู่ในสมรภูมิกันหมด เด็กเหล่านี้ถูกปลุกใจให้ฮึกเหิมรบเพื่อปกป้องมาตุภูมิและคนที่รัก แต่ไม่รู้มากไปกว่านั้นว่า ต้นเหตุของสงครามล้วนมาจาก ลัทธิทางทหารของบรรดาผู้นำกระหายเลือดไม่กี่คนที่กุมอำนาจอยู่
ฉากสะเทือนใจฉากหนึ่งเกิดขึ้น ตอนที่บรรดาทหารเด็กที่มีลักษณะไม่ต่างจากเด็กนักเรียนทั่วไป ได้รับทราบว่าจะต้องขึ้นเรือไปรบที่โอกินาวา และไม่มีโอกาสจะกลับมาบ้านอีกแล้ว และผู้บัญชาการเรือได้ให้โอกาสทหารเด็กเหล่านี้ได้ระบายอารมณ์ออกมา เพื่อแสดงความรักต่อคนที่อยู่บนฝั่งเป็นครั้งสุดท้าย
ปรากฏว่าทหารเหล่านี้ต่างร้องไห้ด้วยความกลัวตาย ต่างตะโกนคิดถึงพ่อแม่และคนรักอย่างสิ้นหวัง เพราะรู้ดีว่าไม่มีโอกาสกลับมาอีกแล้ว
ยามาโต้เป็นเรื่องราวของทหารเด็กคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์รบครั้งนั้น และได้มีโอกาสกลับไปบริเวณที่เรือจมเมื่อ 60 ปีก่อนอีกครั้งหนึ่ง
สิ่งที่เป็นความรู้สึกสะเทือนใจติดตัวมาตลอดคือ เพื่อนร่วมรุ่นและผู้บังคับบัญชาของเขาตายหมด และก่อนตายพวกเขาได้พยายามช่วยให้เขารอดชีวิตกลับมาได้เพียงคนเดียว
เขาไม่อาจเข้าใจได้ว่า ทำไมเขาถึงถูกเลือกมาให้มีชีวิตสืบต่อไป
เมื่อรอดชีวิตกลับมาขึ้นฝั่งได้ ทหารเด็กผู้นี้ได้ไปบอกแม่ของเพื่อนว่า ลูกชายของเขาได้ตายแล้วอย่างกล้าหาญ แต่เสียงร่ำไห้และคำพูดของแม่เหล่านี้ล้วนสะเทือนใจยิ่งนักที่ตอกหน้าเขาว่า
“คนอื่นตายกันหมด แล้วทำไมเธอถึงรอดชีวิตกลับมาได้เพียงคนเดียว”
หลังสงครามเขากลับไปบ้านและพบว่า แฟนสาวที่รอเขาอยู่มาโดยตลอดเสียชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองฮิโรชิม่า
แต่สุดท้ายเขาได้ค้นพบว่า เขาต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อการตายของคนอื่นจะได้มีคุณค่า
เขายังจำคำพูดของผู้บังคับบัญชาในระหว่างการรบได้ว่า
“ในยามสงคราม พวกเราส่วนใหญ่อยากยอมตาย แต่ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีคนอยากมีชีวิตอยู่สืบไป”
อย่าตาย อย่ายอมแพ้จึงดังก้องมาโดยตลอด
ภาพยนต์เรื่องยามาโต้ แม้ว่าจะเป็นหนังทำเงินมหาศาลในประเทศญี่ปุ่น แต่วันที่ไปดู มีผู้ชมนับหัวได้
อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ชอบดูหนังสงคราม แต่เหมาะกับบรรดาผู้กระหายเลือดที่ชอบปลุกระดมอยากเห็นคนไทยฆ่ากันเอง
ดูแล้วจะรู้ว่าเวลาเกิดสงคราม ผู้บาดเจ็บล้มตายก่อนใครนั้น คือบรรดาพ่อแม่ ผู้อันเป็นที่รัก และญาติพี่น้องที่อยู่แนวหลังนั่นเอง