“ฟ้ายิ่งมืด ดาวยิ่งพราวฟ้า”
หากถามคนรอบตัวว่า ใครชอบดูดาวยามรัตติกาลบ้าง
เชื่อว่าคงไม่มีใครปฎิเสธการดูแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า
ในความเป็นจริง ปัจจุบันผู้คนในเมืองแทบจะเห็นดาวน้อยมาก
ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน เมื่อหลอดไฟฟ้าดวงแรกได้ถูกประดิษฐ์ขึ้น
ท้องฟ้าอันมืดสนิทในยามค่ำคืนค่อย ๆ เลือนหายไป จากแสงไฟตามอาคารบ้านเรือน
ป้ายโฆษณาขนาดยักษ์ตามตึกระฟ้า หลอดไฟตามท้องถนน ที่สว่างฟุ้งกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า
แสงสว่างกระทบชั้นบรรยากาศ ทำให้ท้องฟ้าเรืองแสงไปทั่วมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนผู้คนห่างไกลจากความงดงามในยามค่ำคืนไปนานแล้ว
คืนหนึ่งในปี 1994 เมืองลอสแองเจลิส เวลาประมาณตีสี
ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขนาด 6.7 แม็กนิจูด ทำให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง
ไม่มีไฟตามท้องถนนหรืออาคารบ้านเรือนเป็นเวลานาน
พอหลายคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า พวกเขาเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต
คือดาวระยิบระยับ และทางช้างเผือกพาดกลางท้องฟ้า มันงดงามมาก
แต่ทำให้บางคนตื่นตกใจ ถึงกับโทรไปแจ้งความที่สายด่วน 911 ของตำรวจ บอกว่า
“มีเมฆสีเงินประหลาดขนาดยักษ์ ลอยเหนือท้องฟ้า มันน่ากลัวมาก”
ชาวเมืองลอสแองเจลิสจำนวนมากก็เช่นเดียวกับผู้คนจำนวนมากบนโลก
ไม่เคยเห็นทางช้างเผือกมาก่อนในชีวิต และพากันตื่นเต้นที่เห็นท้องฟ้างดงามเพียงใดยามมืดมิด
มีการศึกษาพบว่า แม้ประเทศสหรัฐอเมริกาจะมีพื้นที่กว้างใหญ่
แต่คนอเมริกันกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่เคยเห็นทางช้างเผือกมาก่อนในชีวิต
เพราะหากมองจากนอกโลกในยามค่ำคืน ประเทศนี้สว่างไสวที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
และคนทั่วโลกราว 2,000 ล้านคน ไม่เคยเห็นทางช้างเผือกเช่นกัน
ปัญหาใหญ่เกิดจากแสงสว่างที่ฟุ้งกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้า
การใช้แสงสว่างในยามค่ำคืนเป็นสิ่งจำเป็น แต่ทุกวันนี้เราใช้แสงสว่างยามค่ำคืนเกินความจำเป็น
จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า มลภาวะทางแสง อันหมายถึง แสงประดิษฐ์ที่เกิดจากการกระทำกิจวัตรของมนุษย์
ในเวลากลางคืน รวมถึงมลภาวะของแสงที่สว่างจ้าจนเกินความจำเป็น
มลภาวะทางแสงไม่ได้ทำให้เราไม่เห็นดาวหรือทางช้างเผือกเท่านั้น
แต่ยังก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะแสงสว่างจากนอกบ้านในตอนกลางคืน
ที่รบกวนการหลับนอนของมนุษย์ ส่งผลต่อเมลาโทนิน
เมลาโทนิน (Melatonin) เป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากต่อมไพเนียลที่อยู่ในบริเวณส่วนกลางของสมอง
ต่อมไพเนียลนี้จะถูกกระตุ้นให้สร้างเมลาโทนินออกมาสู่กระแสเลือดในเวลาที่ไม่มีแสงหรือแสงสว่างน้อย ทำให้เรารู้สึกง่วง พักผ่อนนอนหลับได้ลึกและเต็มที่ เป็นประโยชน์กับร่างกายมหาศาล
ความมืดเป็นตัวกระตุ้นการหลั่งของเมลาโทนินและหยุดหลั่งเมื่อเจอแสงสว่าง
ในช่วงเวลากลางวันต่อมไพเนียลไม่ได้ทำงานเนื่องจากมีแสงสว่าง
เมลาโทนิน ช่วยให้เราหลับสนิท สุขภาพที่ดี มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยลดคลอเรสเตอรอล
และช่วยให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ ตับอ่อน รังไข่ อัณฑะ ต่อมหมวกไตดีขึ้น
แต่หากแสงรบกวนการนอน ทำให้เมลาโทนินหลั่งในร่างกายน้อยลง นอนไม่พอเพียง
จะทำให้นาฬิกาชีวภาพ หรือวงจรระบบการทำงานในร่างกายคนเรา
ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการตื่นนอน การนอนหลับ
หรือการหลั่งฮอร์โมน เกิดอาการเครื่องรวน
สิ่งที่ตามมาคือ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และมะเร็งเต้านม
การเปิดแสงสว่างจ้ามากเกินไป ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก
นกอพยพจำนวนมากที่เดินทางเวลากลางคืน โดยใช้แสงสว่างจากดวงดาวและดวงจันทร์
เป็นเครื่องมือชี้ทิศทาง ก็หลงทิศได้ง่าย ๆ จากแสงสว่างของมนุษย์
ทุกปีในประเทศสหรัฐอเมริกา มีนกจำนวนมาก หลงทิศ และบินชนกระจกตึกอาคารสูง
ที่เปิดไฟสว่างไสวยามค่ำคืน ตายปีละ 100-1,000 ล้านตัว
ในยามค่ำคืน ลูกเต่าทะเลจำนวนมากที่ฟักออกมา แทนที่จะคลานลงทะเล กลับหลงทิศ
เดินลึกเข้าไปบนฝั่ง ตามแสงสว่าง เพราะคิดว่าเป็นแสงเรือง ๆ จากท้องทะเล
หิ่งห้อยในหลายพื้นที่ ค่อย ๆ หายไป เพราะความสว่างจ้ามากเกินไป
ทำให้การผสมพันธุ์ของหิ่งห้อยลดน้อยลง
ไม่นับรวมสัตว์หากินกลางคืน ที่ได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางแสง
แสงสว่างจากหลอดไฟยามค่ำคืน ทำให้พืชหลายชนิดหยุดเจริญเติบโต
แมลงกลางคืนหลายชนิดไม่ผสมเกสร ทำให้พืชหลายชนิดอาจค่อย ๆสูญหายไป
ผลการวิจัยในสหราชอาณาจักร เผยว่าต้นไม้ในบริเวณที่มีไฟส่องสว่าง
จะออกดอกเร็วกว่าปกติ 1 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับต้นไม้ที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณที่มีแสงไฟ
ปัญหาจากมลภาวะทางแสง ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ แต่ในความเป็นจริง
การแก้ปัญหาเรื่องนี้ กลับง่ายดายมาก และแทบจะไม่มีใครเสียผลประโยชน์อะไรเลย
ปัญหามลภาวะแสง แก้ไขง่ายกว่าปัญหามลภาวะเรื่องอื่น
ไม่สร้างความขัดแย้งในสังคม เพียงแค่จัดการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพ
เพราะกิจกรรมการใช้แสงสว่างยังดำเนินต่อไป
เพียงแต่ปรับเปลี่ยนหลอดไฟและโคมไฟให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น
คือการใช้โคมไฟที่บังคับให้แสงมีทิศทางตกลงบนพื้นดิน
ไม่ต้องฟุ้งกระจายขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างไม่จำเป็น แต่ความสว่างยังเหมือนเดิม
โดยเฉพาะไฟนอกอาคาร อาทิ ไฟฟ้าตามท้องถนน ที่มุ่งความปลอดภัยของผู้คนเป็นหลัก
และการปรับทิศของแสงให้ตกลงบนพื้น ก็ได้ความสว่างเท่าเดิม ไม่ต้องฟุ้งขึ้นสู้ท้องฟ้า
เพียงเท่านี้ ความงดงามของแสงดาวระยิบฟ้าก็กลับคืนมา


นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาเคยคำนวณว่า ถ้าเราเปิดหลอดไฟจำนวน 100 หลอดทิ้งไว้หนึ่งปี
คิดเป็นพลังงานจากเชื้อเพลิงถ่านหินครึ่งตัน
และบนโลกนี้ มีหลอดไฟหลายพันล้านดวงที่เปิดทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่จำเป็น
นั่นคือพลังงานมหาศาลที่สูญเสียไป
ทุกวันนี้หลายประเทศเริ่มตื่นตัวในการจัดการมลภาวะทางแสง อาทิในประเทศ สิงคโปร์
มีการจัดทำแผนแม่บทการใช้แสงสว่างตามพื้นที่ต่าง ๆ
มีการแบ่งโซนการใช้หลอดไฟและความเข้มของแสงตามความจำเป็น
เพื่อควบคุมมลภาวะทางแสง และการประหยัดพลังงาน
แผนแม่บทการใช้แสงสว่าง ฟังแล้วน่าทึ่ง
เพราะประเทศเราแทบจะมีทุกแผน ยกเว้นแผนแม่บทแบบนี้
ที่สำคัญคือ ได้เกิดแนวคิดในการรณรงค์ให้เกิดเขตอนุรักษ์ความมืดของท้องฟ้า ( Dark Sky Reserve)
ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
อาทิ บางพื้นที่หลายแสนไร่บนเกาะใต้ของประเทศนิวซีแลนด์
ได้รับการประกาศจากสมาคมพิทักษ์ความมืดแห่งท้องฟ้าสากล (International Dark-Sky Association) ให้เป็น เมืองดาว หรือ “เขตอนุรักษ์ความมืดของท้องฟ้า”
และเป็นหนึ่งในสถานที่ดูดาวที่ดีที่สุดในโลก เพราะยามค่ำคืนมีท้องฟ้ามืดสนิท ไม่มี “มลภาวะทางแสง”
บริเวณแห่งนี้ใช้อุปกรณ์ควบคุมแสงนอกอาคาร ไม่ให้ฟุ้งกระจายมาร่วมสี่สิบปีแล้ว
และผลของการควบคุมแสง นอกจากทำให้เป็นพื้นที่ปลอดมลภาวะทางแสงแล้วยังช่วยประหยัดพลังงานด้วย
สมาคมแห่งนี้เชื่อว่า “ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดาวนั้นเป็นมรดกพื้นฐานของมนุษยชาติ
และการปกป้องท้องฟ้าที่มืดมิดนั้นเป็นเรื่องจำเป็นในการสร้างความมั่นใจว่าคนในรุ่นปัจจุบัน
และรุ่นต่อไปนั้นจะมีโอกาสได้มองเห็นดวงดาว”
นักดูดาวจากทั่วโลกต่างพากันเดินทางมาดูดาวบนเกาะใต้แห่งนี้
จนกลายเป็นรายได้สำคัญของประเทศนิวซีแลนด์ไปโดยปริยาย
แต่เป็นที่น่ายินดี สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ได้เริ่มโครงการ
“ลดมลภาวะทางแสงในชุเขตมชนและอุทยานแห่งชาติ” เพื่อคาดหวังว่าในอนาคตจะเกิด
เขตอนุรักษ์ความมืดของท้องฟ้า ( Dark Sky Reserve)
โดยมีโครงการนำร่องในหลายพื้นที่ อาทิ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ในชุมชนอำเภอเชียงดาว ฯลฯ
หากแสงสว่างคือสัญลักษณ์แห่งความทันสมัย ความเจริญของมนุษย์
การเห็นทางช้างเผือกและดาวระยิบระยับในรัตติกาล อาจเป็นสิ่งบอกเหตุได้ว่า
มนุษย์กำลังหันกลับไปหาธรรมชาติอีกครั้งหนี่ง
