ลึกเข้าไปในป่าพะโต๊ะ จังหวัดระนอง ชาวบ้านคลองเรือ
ใช้ชีวิตกลางสวนนานาชนิดอยู่กันอย่างมั่นคงและมั่งคั่ง
เชื่อไหม พื้นที่เกษตรเพียง 5 ไร่ อาจสร้างรายได้ 500 ,000บาท
บางปีเกษตรกรที่นี่เก็บมังคุดได้ 8,000กิโลกรัม ขายได้กิโลละ 100บาท ก็ปาเข้าไป 800,000 บาท
ไม่นับพืชชนิดอื่น
ด้วยรายได้เฉลี่ยครอบครัวปีละหลายแสนบาท บางปีอาจจะได้นับล้าน
จากการทำสวนมังคุด กาแฟ หมาก เพียงไม่กี่ไร่
อย่าเพิ่งตาลุกวาว กว่าจะมาถึงจุดนี้พวกเขาลองผิดลองถูกมานานแล้ว
………………………
บ้านคลองเรือ ได้ชื่อจากลำคลองในหมู่บ้านที่มีลักษณะคล้ายลำเรือ
ตั้งอยู่ที่หมู่ 9 ต.ปากทรง อ.พะโต๊ะ จ.ชุมพร
เป็นชุมชนในพื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าควนแม่ยายหม่อน
ในอดีตเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ป่าพะโต๊ะเป็นป่าดงดิบอันอุดมสมบูรณ์
มีผู้คนอาศัยเพียงสองครอบครัว
เพราะเดินทางลำบากมาก ไม่มีทางรถเข้า ต้องเดินเท้าอย่างเดียว
ชาวบ้านมีอาชีพปลูกข้าว ปลูกกาแฟและไม้ผลต่าง ๆ
จนกระทั่งช่วงปี 2528 กาแฟมีราคาดี จึงเริ่มมีผู้คนจากทั่วสารทิศ
เข้ามาบุกเบิกที่ดิน ทำให้มีการรุกป่าเพื่อเป็นที่ทำกิน
เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่สามารถป้องกันได้ เพราะการเดินทางเข้าป่าลำบาก
ป่าหลายร้อยไร่ถูกเปลี่ยนเป็นพืชสวนไร่นา
โดยไม่มีกฎกติกาหมู่บ้านทำให้เกิดการแผ้วถางและเผาป่าเพื่อเป็นที่ทำกิน
แต่ต่อมาในปีพ.ศ. 2536 ผู้มาใหม่ ยอมทำความตกลงร่วมกันกับทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้
คือหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ เพื่อรักษาป่าต้นน้ำ
เพราะหากไม่ทำอะไรเลย ป่าพะโต๊ะคงเหลือแต่ตำนาน ด้วยการจำกัดพื้นที่คือ
แต่ละครอบครัวสามารถมีพื้นที่เพาะปลูก 25ไร่ ห้ามขยายเด็ดขาด
มีสัญญาใจไม่ขายสิทธิทำกินให้คนนอกหมู่บ้าน
เกิดการทำงานร่วมระหว่างชาวบ้านกับหน่วยอนุรักษ์ฯ
ชาวบ้านหลายคนเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนที่บ้านเกิด พวกเขาเคยมีที่ดินนับร้อยไร่
เชื่อคำแนะนำของทางการที่สนับสนุนให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยวหลายอย่าง อาทิ ข้าวโพด ปอ อ้อย
แต่สุดท้ายราคาตกต่ำ ต้องเป็นหนี้สินมากมาย
ขายที่ดินจนหมดและมาตายเอาดาบหน้าที่ป่าพะโต๊ะ
เมื่อมาบุกเบิกที่ทำกินแห่งใหม่ จากเหตุการณ์ในอดีต
ทำให้หลายคนมีบทเรียนที่จะไม่ยอมปลูกพืชเชิงเดี่ยวอีกต่อไป
และเริ่มคิดว่า ที่ดินครอบครัวละ 25 ไร่ พวกเขาจะจัดการอย่างไร
พวกเขาปลูกพืชหลายชนิดแบบผสมผสานในที่ดินเดียวกัน เพื่อกระจายความเสี่ยง
พวกเขาใช้การสังเกต เรียนรู้สภาพดิน
พากันไปศึกษางานตามที่ต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้
ในที่สุด พวกเขาได้เรียนรู้ว่า สภาพดิน อากาศของป่าพะโต๊ะ
เหมาะกับการปลูกพืชเศรษฐกิจ 4 ชนิด
และทำเกษตร 4 ชั้น คือ
ปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรเชิงเดี่ยวให้เป็น
เกษตรผสมผสานที่มีสภาพใกล้เคียงป่าธรรมชาติดั้งเดิม
ลดการใช้ปุ๋ยเคมี เพื่อป้องกันน้ำเสีย
สนับสนุนการทำปุ๋ยชีวภาพ
บนพื้นดินเดียวกัน พวกเขาปลูกต้นหมากจนขึ้นสูงอยู่ชั้นบนสุด
ชั้นรองลงมาปลูก มังคุด ทุเรียน กาแฟ
พืชเหล่านี้สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้และทำเงินเป็นอย่างดีด้วย
กลยุทธ์ปลูกพืชแบบกระจายความเสี่ยง
พวกเขาสามารถขายผลิตผลได้หลากหลาย
“ความล่มจมของเกษตรกรบ้านเรา
เพราะทางการสนับสนุนให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยว จนเป็นหนี้สิน”
ชาวบ้านคลองเรือ คนหนึ่งบอกกับผม
ปีใดหมากราคาตก พวกเขาก็ได้ราคากาแฟ มังคุด มาชดเชย
ปีไหนราคามังคุดราคาตก พวกเขาก็ได้ ราคาหมากมาชดเชย หมุนเวียนไป
ตอนนี้หมากคือผลผลิตหลักที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ความต้องการหมากในท้องตลาดมีมากขึ้น
โดยเฉพาะการส่งออกไปต่างประเทศ
ทุกวันนี้หมากเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตสีทุกชนิด
เพราะหมากมีสารบางตัวทำให้สีติดทนนาน
จนไม่น่าเชื่อว่า ชาวไร่บางคนที่เคยปลูกพืชเชิงเดี่ยวนับร้อยไร่แต่ล่มจม
แต่มาปลูกพืชบนพื้นที่ ห้าไร่
สามารถขายพืชผลต่างๆได้ปีละ 500,000บาท
แน่นอนว่าชาวคลองเรือทุกคนไม่ได้มีรายได้มากขนาดนี้ทุกคน
เพราะหลายคนยังมีความเชื่อเดิม ๆ ด้วยการปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือปาล์ม
แต่พวกเขาส่วนใหญ่เริ่มพบว่า การมีที่ดินมากไม่ได้หมายความว่า
จะได้ผลิตผลมาก แต่การสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในที่ดินที่จำกัดจะได้ผลิตผลมากกว่า
โดยไม่จำเป็นต้องไปรุกพื้นที่ป่าอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน เขาชัดเจนว่าต้องรักษาป่า
เพราะไม่มีป่า ไม่มีน้ำ มาทำการเกษตร
พวกเขาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พลิกฟื้นป่า 1,875ไร่ ให้กลับคืนความสมบูรณ์
และเพิ่มการดูแลพื้นที่ป่าสงวนกว่า 7,000 ไร่
ชาวบ้านรักษาป่า ป่าสร้างน้ำ น้ำสร้างพืชผล พืชผลทำให้ชาวบ้านมั่นคงและมั่งคั่ง
ที่สำคัญคือเขามีแผนยุทธศาสตร์ว่า
อนาคตของที่นี่คือ เกษตรเชิงนิเวศและท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
เป็นยุทธศาสตร์ชาวบ้านสรุปบทเรียนจากประสบการณ์ล้วน ๆ
และทำได้จริง
ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ชาติ 20ปี บนห้องประชุมที่มีแต่กระดาษ