เช้าวันที่ 3 ม.ค. 2562 โดรนของกองทัพสหรัฐอเมริกา ได้ลอบสังหารพลตรี สุเลมานี วัย 62 ปี
ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ สังกัดกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (Revolutionary Guard Corps) และเป็นผู้กุมอำนาจเบอร์สองของอิหร่าน ตามคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่สนามบินในกรุงแบกแดด
การสังหารในครั้งนี้จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านทวีความรุนแรงมากขึ้น จนอาจกลายเป็นสงครามครั้งใหม่
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมปี 2562 สถานการณ์ในอ่าวเปอร์เซียเริ่มวิกฤติ
เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐอเมริกาได้เคลื่อนขบวนกองเรือรบมุ่งหน้ามาอ่าวเปอร์เซีย
ทำให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่านที่มีมานานได้เริ่มขึ้น
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นผมออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ
ด้วยสายการบินแห่งชาติของอิหร่าน Mahan Air มุ่งหน้าสู่กรุงเตหะราน
ท่ามกลางความห่วงใยของคนรอบข้างที่ไม่รู้ว่าทั้งสองประเทศจะเปิดศึกกันเมื่อใด
ผู้โดยสารเต็มลำ แต่เกือบทั้งหมดเป็นคนอิหร่าน แทบจะไม่มีคนไทยนอกจากกลุ่มของเราสิบกว่าคน
ยามปกติประเทศอิหร่านเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย
เพราะค่าครองชีพถูก อาหารอร่อย มีสถานที่เก่าแก่งดงามหลายแห่งระดับโลกที่ไม่ควรพลาด
แต่จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยลดจำนวนลง
ตอนแรกผมคิดว่าสายการบิน Mahan Air คงบินแวะมารับผู้โดยสารจากเมืองไทย
แต่เป็นความรู้ใหม่ว่า สายการบินแห่งชาติอิหร่าน บินตรงจากประเทศไทยไปอิหร่าน
และในทวีปเอเชีย ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสามประเทศที่สายการบินนี้บินตรงจากกรุงเตหะราน
ผมทราบภายหลังจากเพื่อนชาวอิหร่านว่า
คนอิหร่านรู้จักและคุ้นเคยกับเมืองไทยดี เพราะความสัมพันธ์ในอดีตอันยาวนาน
สมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวอิหร่านที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสยาม คือ เชค อาหมัด กูมี หรือ เฉก อะหมัด
พ่อค้า นักบวชชาวอิหร่านซึ่งเดินทางมาค้าขายในสยามประเทศ ราวศตวรรษที่ 16
ต่อมาได้สร้างความดีความชอบมากมาย พระนารายณ์มหาราชจึงโปรดให้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ระดับสมุหนายกอัครมหาเสนาบดีและเป็นต้นสกุลหลายนามสกุล รวมถึงตระกูลบุนนาค
ประเทศไทยจึงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวจากอิหร่าน
แปดชั่วโมงต่อมา เรามาถึงสนามบินTehran Imam Khomeini
ตั้งชื่อตาม โคมัยนี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน
เจ้าหน้าที่ประจำสนามบินทำงานตามปรกติ ไม่มีทหาร ตำรวจ ยืนยามรักษาความปลอดภัยเข้มงวด
เดินออกผ่านสนามบินมาพบไกด์ชาวอิหร่านที่รอรับไปโรงแรม
อาณาจักรเปอร์เซียในอดีตเมื่อสองพันกว่าปีก่อน คือมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก
ไม่ต่างจากกรีก โรมัน จีน หรืออินเดีย เพียงแต่ต่างยุคต่างสมัยกัน
มีกษัตริย์ผู้มีชื่อเสียง อาทิ พระเจ้าไซรัสมหาราช พระเจ้าดาไรอัสมหาราช
เคยรบชนะกรีก บุกไปตีกรุงเอเธนส์ แผ่ขยายอาณาจักรไปไกลแสนไกล
ตั้งแต่บางส่วนของคาบสมุทรบอลข่าน และยุโรปตะวันออกทางทิศตะวันตก
จรดลุ่มแม่น้ำสินธุทางทิศตะวันออก ทำให้เป็นจักรวรรดิใหญ่สุดในโลกในขณะนั้น
แต่ได้ล่มสลายลงจากชัยชนะของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชต่อกองทัพเปอร์เซีย
ประมาณ 330 ปีก่อน ค.ศ.
ต่อมาศาสนาอิสลามได้เข้ามาเผยแพร่และกลายเป็นศาสนาประจำชาติ
อาณาจักรแห่งนี้มีทั้งยุครุ่งเรืองและเสื่อมโทรม
โดยเฉพาะในช่วงหลังเมื่อมหาอำนาจตะวันตกเริ่มเข้ามาล่าอาณานิคมในเอเชียและแอฟริกา

หลายวันถัดมา หลังจากคุ้นเคยกับไกด์ชาวอิหร่านผู้นี้ คำถามแรกที่เราถามเพื่อนคนนี้คือ
“ทำไมสหรัฐอเมริกากับอิหร่านเป็นศัตรูกันมาช้านาน”
เขาบอกว่า ความขัดแย้งไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น
แต่มันมีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนกลับไปนับร้อยปี
ในสมัยล่าอาณานิคมของประเทศชาติตะวันตก
แม้อิหร่านจะไม่ได้ถูกยึดครองโดยตรงจากชาติมหาอำนาจ
แต่อังกฤษ รัสเซีย เยอรมัน และสหรัฐอเมริกาได้แผ่อิทธิพล
และเข้ามากอบโกยทรัพยากรธรรมชาติของอิหร่านที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์
รวมทั้งต้องยอมเสียดินแดนบางส่วน
แทบจะไม่แตกต่างจากสยามประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5
เมื่อมีการค้นพบน้ำมันในอิหร่านในคริสต์ศตวรรษที่ 19
ประเทศอังกฤษผูกขาดผลประโยชน์น้ำมัน สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนมาก
จนเกิดกระแสต่อต้านที่กว้างขวางของประชาชนชาวเปอร์เซีย
เพื่อปกป้องผลประโยชน์และเอกราชของประเทศ
จุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญได้เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921
นายพล เรซา ข่าน ผู้บัญชาการกองพันน้อยคอสแซคได้นำกองทัพบุกเข้าเมืองหลวงทำการรัฐประหาร
และต่อมาได้สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ เรซา ชาห์ ปาห์เลวี
ประกอบพิธีราชาภิเษกเป็นกษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ปาห์ลาวี ในปี ค.ศ.1925
พระองค์ประกาศจะพลิกอิหร่านให้กลับมาเป็นชาติมหาอำนาจอีกครั้ง
และเชิดชูผู้นำชาตินิยมแบบฮิตเลอร์แห่งเยอรมนี และอตาเติร์กแห่งตุรกี
พอสงครามโลกครั้งที่ 2 ประทุขึ้น ประเทศอิหร่านอยู่ฝ่ายเดียวกับเยอรมนี
ต่อมากองทัพพันธมิตรจึงได้ตัดสินใจบุกอิหร่าน
กองทัพอังกฤษยึดภาคใต้ ขณะที่กองทัพรัสเซียยึดภาคเหนือ
ประเทศอิหร่านถูกปกครองโดยกองทัพสัมพันธมิตร กษัตริย์เรซาจึงถูกบีบบังคับให้สละราชสมบัติ
พระโอรสองค์ใหญ่คือ โมฮัมหมัด เรซา ข่าน ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
หลังจากนั้นชนชั้นนำได้นำประเทศอิหร่านให้เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับประเทศตะวันตก
โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ขณะที่ประชาชนเริ่มตื่นตัวในความเป็นชาตินิยมจึงไม่เห็นด้วยกับผู้นำในเวลานั้น

ในปี ค.ศ. 1951 ดร.มุฮัมหมัด มูซัดเดก ผู้นำคนหนึ่งในขบวนการชาตินิยมอิหร่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี
เขาใช้มาตรการตอบโต้การยึดครองของต่างชาติอย่างรุนแรง
ด้วยการยึดบริษัทน้ำมันแองโกล-อิหร่านออยล์ของอังกฤษมาเป็นของชาติ
รัฐบาลอิหร่านได้ประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษ
เศรษฐกิจเริ่มปั่นป่วนและเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว จากการบอยคอตของชาติตะวันตก
และเกิดความวุ่นวายมากขึ้น
สุดท้ายได้เกิดการรัฐประหาร มูซัดเดกและคณะรัฐบาลถูกจับกุม
พระเจ้าชาห์โมฮัมหมัดเรซา ได้เข้ามามีบทบาทในทางการเมือง
และพาประเทศเข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่งตั้งรัฐบาลใหม่ มีนโยบายเอาใจตะวันตก มีการเจรจาตกลงกับบริษัทน้ำมันอังกฤษและสหรัฐอเมริกา
และปกครองประเทศท่ามกลางความไม่พอใจของประชาชน
เพื่อนอิหร่านเล่าให้เราฟังว่า
“มูซัดเดกเป็นนายกรัฐมนตรีหัวก้าวหน้า
เขาเสนอให้ทางบริษัทน้ำมันของอังกฤษที่สร้างโรงกลั่นน้ำมันใหญ่สุดในโลก
แบ่งผลประโยชน์ให้อิหร่านด้วย แต่ทางอังกฤษไม่ยอม
มูซัดเดกจึงยึดโรงกลั่นน้ำมันต่างชาติหมด มหาอำนาจตะวันตกไม่ยอม ใช้ทหารล้มรัฐบาล
และกษัตริย์ชาห์ไปเข้าข้างมหาอำนาจ
อันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้เกิดปฏิวัติอิสลามในเวลาต่อมา”
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1963 รัฐบาลได้ทำการจับกุมอยาตุลเลาะห์ โคมัยนี ผู้นำศาสนาอิสลาม
ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนักศึกษาและประชาชนขณะปราศรัยโจมตีรัฐบาล
สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชนจำนวนมากจึงพากันออกมาเดินขบวน
เรียกร้องให้ปล่อย โคมัยนี เหตุการณ์ลุกลามรุนแรงถึงขั้นนองเลือด
รัฐบาลกษัตริย์ชาห์ แก้ปัญหาด้วยการเนรเทศโคมัยนีออกนอกประเทศเป็นเวลาถึง 13 ปี
เพื่อหวังว่าประชาชนจะลืมผู้นำทางจิตวิญญาณท่านนี้
แต่ความไม่พอใจของประชาชนยังไม่จบสิ้น ขณะที่คนในราชวงศ์ใช้จ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย
แต่ผู้คนอดอยาก เศรษฐกิจตกต่ำ
และในปี ค.ศ. 1978 ได้เกิดเพลิงไหม้อย่างรุนแรงในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง มีคนเสียชีวิตสามร้อยกว่าคน
จนกลายเป็นชนวนความขัดแย้ง ตำรวจไม่สามารถหาคนผิดได้
ประชาชนจึงออกมาเดินประท้วงตามท้องถนนอีกครั้ง มีข้อความประท้วงชาห์
เผาธงชาติสหรัฐอเมริกา ผู้อยู่เบื้องหลังการปกครองของชาห์
ขณะเดียวกัน โคมัยนีก็ใช้สื่อเป็นเครื่องมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยการพูดอัดลงเทปคาสเซ็ทและนำออกมาเผยแพร่ให้คนอิหร่านฟัง
กระตุ้นให้เกิดการนัดหยุดงานหลายแสนคนและเดินขบวนกันทั้งประเทศหลายครั้ง
เพื่อโค่นล่มกษัตริย์ชาห์ เรียกร้องให้มีรัฐอิสลาม มีการปะทะ เผาบ้านเรือนของชาวอเมริกัน
คนตายเพิ่มขึ้นทุกวัน ประเทศกลายเป็นอัมพาต
จนในที่สุดเมื่อสถานการณ์คุมไม่ได้
สหรัฐที่สนับสนุนกษัตริย์มาหลายสิบปีได้แนะนำให้เสด็จออกนอกประเทศ เมื่อวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1979
เป็นการสิ้นสุดยุคสมัยการปกครองแบบกษัตริย์ที่ดำเนินต่อเนื่องมากว่า 2,500 ปีของอิหร่าน
1 กุมภาพันธ์ ปีเดียวกัน โคมัยนี ได้เดินทางจากกรุงปารีสกลับประเทศ
กองทัพยอมวางตัวเป็นกลาง ฝ่ายโคมัยนีจึงเข้ายึดที่ทำการรัฐบาล
ประกาศชัยชนะและนำอิหร่านเข้าสู่การปกครองแบบรัฐอิสลามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
โดยมีผู้นำสูงสุดคือ อิหม่ามโคมัยนี เป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ
มีอำนาจครอบคลุมทั้งการเมืองและการปกครองทั้งหมด
ประเทศอิหร่านกลายเป็นสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
ผู้นำทางศาสนามีสิทธิในการกลั่นกรองกฎหมายทุกอย่าง มีนโยบายขจัดอิทธิพลชาติตะวันตก
“ตอนนั้นต้องยอมรับว่า คนอิหร่านจำนวนมากที่ออกมาประท้วงไล่กษัตริย์ชาห์
ก็ยังงงๆ ไม่รู้ว่า อนาคตประเทศจะเดินไปทางใด
แนวคิดเรื่องรัฐอิสลามของท่านผู้นำโคมัยนี จึงเป็นทางออกอันเดียวในเวลานั้น
แม้รู้ว่าเสรีภาพจะลดน้อยลง แต่ก็เป็นรองจากปัญหาหลักคือเศรษฐกิจตกต่ำ
ซึ่งเชื่อว่ารัฐอิสลามจะเข้ามาแก้ไขได้”
เพื่อนชาวอิหร่านผู้ไม่ประสงค์ออกนามเล่าความเห็น
ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐอเมริการุนแรงขึ้นถึงขีดสุด
เมื่อกลุ่มนักศึกษาได้บุกสถานทูตสหรัฐในกรุงเตหะราน และจับชาวอเมริกัน 52 คน
เป็นตัวประกันนานถึง 444 วัน
รัฐบาลสหรัฐตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน
และความเป็นปฏิปักษ์ระหว่าง 2 ชาติ ยังคงดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้
แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่คนอิหร่านเกลียดชังสหรัฐอเมริกา
คือ ในปี ค.ศ. 1980 เมื่อ ซัดดัม ฮุสเซน ประธานาธิบดีอิรักได้สั่งบุกอิหร่าน
หลังจากมีปัญหากระทบกระทั่งกันตามชายแดน จนสงครามอิรัก-อิหร่าน ดำเนินมาถึง 8 ปี
มีคนล้มตายหนึ่งล้านคน สร้างความเสียหายกว่า 30 ล้านล้านบาท
สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็เจรจายุติสงครามกัน ไม่มีใครแพ้ชนะ
“คนอิหร่านเชื่อว่า สหรัฐอยู่เบื้องหลังสงคราม สั่งให้อิรักบุกเรา
เพื่อต้องการทำลายการปฏิวัติอิสลาม โค่นล้มท่านผู้นำ
สงครามครั้งนั้น ชาวอิหร่านตายเยอะมาก ”
หลายวันต่อมาที่เราเดินทางไปหลายพื้นที่ในประเทศอิหร่าน
เราสังเกตเห็นรูปภาพเด็กหนุ่มจำนวนมากตามกำแพง สวนสาธารณะ ริมถนน
คนเหล่านี้คือชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์ไปสู้กับทหารอิรัก
กล่าวกันว่าแทบทุกบ้านในเวลานั้นจะต้องมีเด็กหนุ่มเสียสละชีวิตถูกฆ่าตายในสงครามครั้งนั้น
เหตุการณ์ผ่านไปร่วม 40 ปี ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับอิหร่านยังดำรงอยู่ตลอดเวลา
แต่การทำสงครามกับอิหร่านไม่ง่ายเหมือนการที่สหรัฐบุกอิรักโค่นซัดดัม ฮุสเซน
อิหร่านมีทรัพยากรมหาศาล รวมถึงแร่ยูเรเนียม
มีอาวุธป้องกันตัวที่มีประสิทธิภาพ เป็นพันธมิตรสำคัญกับรัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนีและจีน
“ความขัดแย้งครั้งนี้ที่เกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีทรัมป์
คนอิหร่านเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกนิยมกษัตริย์ชาห์ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาคนหนึ่ง
มีบทบาทสำคัญในคณะที่ปรึกษาของทรัมป์” เพื่อนชาวอิหร่านกล่าวต่อ
“แต่ผมไม่เชื่อว่าสหรัฐจะกล้าทำสงครามกับอิหร่านอย่างเต็มตัว
เพราะทรัมป์เป็นพ่อค้า ไม่ใช่ทหาร สิ่งที่เขาอยากได้คือ
การหาเงินด้วยการขายอาวุธสงครามให้กับประเทศอาหรับ อย่างซาอุดิอาระเบียที่เป็นศัตรูกับเรา”
สิบกว่าวันในประเทศนี้มีแต่ความสงบ คนอิหร่านที่เราพบเห็นอาจจะเชื่อเช่นนี้จึงดำเนินชีวิตปกติ
ไม่มีการซ้อมป้องกันภัยทางอากาศ หรือเตรียมความพร้อมอะไร ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ดูกันต่อไปว่า ความเชื่อของคนอิหร่านจะเป็นจริงหรือไม่