8 ปีผ่านไป คดีของบอส กระทิงแดง ที่มีหลักฐานชัดเจน จับผู้ต้องหาได้ กลับค่อยๆ คืบหน้าไปทีละนิด จนผู้ต้องหาหนีไปเมืองนอกแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2555 เกิดคดีสะเทือนขวัญกลางกรุงเกี่ยวข้องกับทายาทแสนล้าน “นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา” อายุ 27 ปี หนุ่มนักเรียนนอกจากอังกฤษ ขับรถซุปเปอร์คาร์ เฟอรารี่ มาด้วยความเร็ว ชนรถจักรยานยนต์ขับขี่โดยดต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ บริเวณหน้าปากซอยสุขุมวิท 49 จนเสียชีวิต
ปกติคดีขับรถชนคนตายโดยประมาท หากหลักฐานชัดเจน การทำสำนวนคดีส่งฟ้องศาลเสร็จไม่เกินหกเดือน แต่เหตุใดคดีนี้ผ่านไปแปดปียังคลานต้วมเตี้ยมนั้น บรรดาผู้คร่ำหวอดในวงการกล่าวตรงกันว่า ทีมทนายฝ่ายผู้ต้องหาพลิกตำราหาช่องทางกฎหมายอย่างเต็มที่
ไม่มีใครรู้ว่ามูลค่าการลงทุนเพื่อต่อสู้และพลิกคดีนี้มหาศาลเพียงใด และให้กับใครบ้าง
พอชนเสร็จ บอสก็ขับรถหนีเข้าบ้าน และมีพ่อบ้านออกมารับแทนว่าเป็นคนขับ แต่ทนกระแสกดดันไม่ไหว เลยออกมาสารภาพว่าเป็นคนขับรถเอง
บอสเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้าพ่อกระทิงแดง มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์สินกว่า 346,200 ล้านบาท เป็นอันดับสี่จากการจัดอันดับเศรษฐีเมืองไทยประจำปี 2559 ของนิตยสารฟอร์บส์
เป็นลูกคนรวยมหาศาลแบบนี้ สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นได้เสมอ
ช่วงแรกในวันเกิดเหตุตำรวจตั้งข้อหา สี่ ข้อหาคือ
1. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย คดีนี้มีอายุความ 15 ปี ยังเหลือเวลาอีก 10 ปี สิ้นสุด 3 ก.ย. 70
2. ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกชน หรือชนแล้วหนี อายุความ 5 ปี หรือวันที่ 3 ก.ย. 60
3. ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด อายุความ 1 ปี
4. ขับรถโดยขณะมึนเมา
แต่แค่ข้อหาขับรถขณะมึนเมา ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ตรวจปริมาณแอลกฮอล์ทันที เหตุการณ์เกิดตอนเช้ามืด แต่บอสถูกจับตรวจเลือดตอน 5 โมงเย็น ตำรวจทำสำนวนสอบสวนว่า ผู้ต้องหาดื่มสุราหลังจากเกิดเหตุเพราะเครียด ถูกกดดันจากเหตุการณ์ ข้อหานี้จึงตกไป แต่มีคำฮิตขึ้นมาแทนคือ “เมาหลังขับ”
สอดคล้องกับความเห็นของอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง เพราะผลการตรวจเลือดแม้ว่าจะมีปริมาณแอลกฮอล์เกิน แต่ก็ระบุไม่ได้ว่า ดื่มก่อนขับหรือหลังขับ
ส่วนข้อหาขับรถเกินกว่ากฎหมายกำหนด มีอายุความ 1 ปี ตำรวจก็ทำสำนวนล่าช้าจนปล่อยให้หมดอายุความไปเอง พอนักข่าวซักว่าทำไมล่าช้าขนาดนี้ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็แก้เกี้ยวว่า จะมีการสอบสวนภายในและลงโทษทางวินัยตำรวจที่รับผิดชอบ แต่เรื่องเงียบหายไป
กลยุทธ์ของฝ่ายจำเลยคือการเตะถ่วงเวลาการทำคดีให้ล่าช้าออกไปเรื่อยๆ จนหมดอายุความไปทีละข้อสองข้อ โดยใช้เทคนิคสอบสวนแล้ว สอบสวนอีก ไปทีละนิด สุดท้ายคดีก็หมดอายุ
การหมดอายุความไปสองคดี คือ เมาแล้วขับ และ ขับรถด้วยความเร็ว มีผลสำคัญทำให้ข้อหาแรก อันเป็นข้อหาร้ายแรงที่สุด คือ ขับรถชนคนตายโดยประมาท มีน้ำหนักอ่อนลงทันที หากจะมีการพิจารณาในชั้นศาล เพราะผู้ต้องหาไม่ได้เมา และข้อหาขับรถเร็วก็ตกไปแล้ว จึงพิสูจน์ไม่ได้ว่าขับรถด้วยความประมาทหรือไม่
หรือเผลอๆ เป็นการ “ประมาทร่วม” จากผู้เสียชีวิตด้วย คือต่างคนต่างผิดด้วยกันทั้งคู่
ขณะที่เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2560 ข้อหาไม่หยุดให้ความช่วยเหลือตามสมควร หรือคดี ชนแล้วหนี หมดอายุความแล้ว ทำให้น้ำหนักของการสั่งฟ้องข้อหาขับรถชนคนตายโดยประมาทก็จะยิ่งอ่อนยวบลงไปอีก ซึ่งหากเลวร้ายสุดขีดคือ พนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้อง
ตลอดระยะเวลาแปดปี บรรดานักกฏหมายฝ่ายผู้ต้องหาพยายามเตะถ่วง เพื่อให้ชะลอการออกหมายจับและขอให้สอบปากคำพยานเพิ่มไปเรื่อยๆ
เทคนิคสำคัญอีกประการคือ ทนายขอเลื่อนขั้นตอนฟังสั่งคดีอีกถึง 6 ครั้ง คดีนี้จึงยังไม่ถึงชั้นศาล และฝ่ายผู้ต้องหาก็คาดว่า หากเรื่องเงียบๆ ไป ก็จะไม่มีใครสนใจ แต่สื่อมวลชนไทยกลับเกาะติดข่าวตลอด และสุดท้าย สำนักข่าวต่างประเทศเสนอข่าวบอสเดินทางใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกอย่างปกติสุขเป็นข่าวดังไปทั่วโลก ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในสังคม
ดังนั้นเมื่อบอสไม่มารายงานตัวต่ออัยการเป็นครั้งที่ 7 เพราะอยู่ต่างประเทศ จึงมีการออกหมายจับบอส กระทิงแดง ซึ่งก็ไม่มีใครตามตัวได้ แม้แต่เอกสารส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ทำเอกสารล่าช้ามาก จนเงียบหายไป
เกมเป็นไปตามคาดของบรรดาฝ่ายผู้ต้องหา ปล่อยให้คดีหลุดไปเงียบ ๆ
ล่าสุด มีหนังสือแจ้งคำสั่งเด็ดขาดอัยการไม่สั่งฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส อยู่วิทยา ในทุกข้อกล่าวหา โดยตำรวจได้ขอนุมัติศาลเพิกถอนหมายจับในคดีขับรถชนตำรวจ สน.ทองหล่อเสียชีวิตเมื่อปี 2555 สิ้นสุดการหนีคดีกว่า 8 ปี
หนังสือจาก พ.ต.ท. ธนาวุฒิ สงวนสุข รองผู้กำกับการสอบสวน ปฏิบัติราชการแทนผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2563 แจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ตามคดีอาญา ระหว่าง พ.ต.ท.วีรดล ทับทิมดี ผู้กล่าวหา นายวรายุทธ อยู่วิทยา ผู้ต้องหาที่ 1 และดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1 เพื่อพิจารณาแล้วนั้น
“บัดนี้อัยการสูงสุด ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีต่อนายวรยุทธ อยู่วิทยาในทุกข้อกล่าวหาตามหนังสือที่อ้างถึง และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่แย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ คดี้นี้จึงเป็นอันสิ้นสุดตามกระบวนการทางกฏหมาย และพนักงานสอบสวนได้ทำการขออนุมัติศาลเพิกถอนหมายจับในคดีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายประเมินว่า ที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะคดี ชนแล้วหนี หมดอายุ ทำให้น้ำหนักของการสั่งฟ้องข้อหาขับรถชนคนตายโดยประมาทมีน้ำหนักอ่อนลง และอาจไม่สั่งฟ้องได้
เป็นเทคนิคหรืออภินิหารทางกฎหมาย ที่บรรดานักกฎหมายรู้กันว่าจะหาช่องอย่างไร
แต่แน่นอนหากคดีนี้ผู้ต้องหาเป็นคนธรรมดา คงติดคุกไปนานแล้ว
คุกเมืองไทยมีไว้ขังคนจน จริง ๆ