ปรัชญา fake news กับการโฆษณาชวนเชื่อ

 วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ 

“การโป้ปดมดเท็จอยู่ตลอดเวลา  ไม่ได้ตั้งเป้าจะให้ผู้คนเชื่อคำโกหกหรอก แต่ตั้งเป้าให้มั่นใจได้ว่าไม่มีใครยอมเชื่อสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว

ผู้คนที่ไม่อาจจำแนกระหว่างความจริงกับคำโกหกย่อมไม่อาจแยกแยะระหว่างถูกกับผิด และผู้คนซึ่งถูกลิดรอนพลังอำนาจในการคิดและวินิจฉัยเยี่ยงนี้แหละที่จะตกอยู่ใต้การปกครองของคำโกหกอย่างสิ้นเชิงโดยไม่รู้เท่าทันและไม่จงใจด้วยซ้ำไป

สำหรับผู้คนเช่นนี้ คุณจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ตามใจชอบ”

ฮันนาห์ อาเรนดท์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน 1906-75

สงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ คือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด   

Continue reading “ปรัชญา fake news กับการโฆษณาชวนเชื่อ”

2025 เราจะเผชิญอะไรกับปัญหาโลกร้อน

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

น้อยคนที่จะทราบว่า สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยน้อยกว่า 1% ของทั้งโลก แต่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่ได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยปีค.ศ. 2023 ประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกเรียงตามลำดับ คือ จีน สหรัฐอเมริกา อินเดีย สหภาพยุโรป27 ประเทศ รัสเซียและบราซิล ที่มีประชากรรวมกันครึ่งหนึ่งของทั้งโลก เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดในโลกโดยคิดเป็น 68 % ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก

 ในขณะที่ทั่วโลกต่างตื่นตระหนกกับปัญหาโลกร้อน และเรียกร้องให้ชาติต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่ในปี 2023 จีนอินเดีย รัสเซียและบราซิลยังเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปเมื่อเทียบกับปี 2022

Continue reading “2025 เราจะเผชิญอะไรกับปัญหาโลกร้อน”

รำลึกถึง‘กูปรี’ สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์จากสงครามกับการล่าสัตว์


เรื่อง วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้เขียนเดินป่าอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม บนเทือกเขาพนมดงรัก กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดมแห่งนี้เป็นภูเขาสูงชัน สภาพป่าอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ อาศัยอยู่อย่างชุกชุม อาทิ กระทิง เสือลายเมฆ และล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้ตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า และพบภาพจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทยซึ่งจัดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในสภาพธรรมชาติจำนวน 1 ตัว ขึ้นมานอนผึ่งแดดในบริเวณเนินทรายริมแม่น้ำลำโดมใหญ่

แต่ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้น คือป่าแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่อยู่ของ ‘กูปรี’ สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทย ตามรายงานขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN และเป็นเหตุผลสำคัญในการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ใน พ.ศ. 2520

Continue reading “รำลึกถึง‘กูปรี’ สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์จากสงครามกับการล่าสัตว์”

คนรุ่นใหม่กับระบบราชการไทย

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

         ผู้เขียนเคยสอบถามลูกเพื่อนที่กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยว่า หากจบการศึกษาแล้ว อยากทำงานอะไรต่อไปมากที่สุด

         ปรากฏว่าคำตอบที่ได้รับคือ หากไม่ออกมาทำอะไรเอง คือการไปเรียนต่อหรือทำงานต่างประเทศ และการรับราชการ (หมายรวมถึงหน่วยงานองค์กรอิสระด้วย)

         คำตอบแรกผู้เขียนไม่ค่อยแปลกใจเท่าใดนัก ต่อปัญหาสภาพสังคม การเมือง และเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ถดถอยลงทุกมิติ ที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกไม่มีความหวังใด ๆ กับสังคมไทยในขณะนี้  สู้ไปผจญภัย ใช้ชีวิตในต่างประเทศสักระยะอาจจะคุ้มค่ามากกว่า อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์หรือภาษาติดตัวกลับมา หรือถ้าโชคดีได้งานดี ๆ ทำ ก็ไม่ต้องกลับ

         แต่คำตอบที่สอง ทำให้ผู้เขียนสะดุดใจ เพราะในอดีตที่ผ่านมา การรับราชการน่าจะเป็นตัวเลือกอันดับท้าย ๆ จากรายได้ที่ไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับภาคเอกชน  แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว การรับราชการกำลังเป็นอนาคตอันสดใสของคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง

Continue reading “คนรุ่นใหม่กับระบบราชการไทย”

ปลาหมอคางดำ กับการจัดการวิกฤติ

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

         “ทุกครั้งที่เกิดเกิดวิกฤติ ความจริงคือสิ่งแรกที่มนุษย์ทุกคนอยากรู้ แต่ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ความจริงจะถูกกำจัดเป็นอันดับแรก”

         ในหลักการประชาสัมพันธ์ทั่วโลก กฎข้อแรกเมื่อบริษัทหรือองค์กรเกิดวิกฤติ เกิดปัญหาร้ายแรง คือ ต้องพูดความจริงให้สาธารณชนทราบเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหา ยิ่งพูดความจริงช้า ความเสียหายก็จะมากขึ้น

         ในความเห็นส่วนตัว  เราคงต้องยอมรับว่า แม้จะมีความพยายามในการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ  แต่คิดว่ามันสายเกินไปแล้ว คงไม่มีทางกำจัดให้หมดไปได้อีกแล้ว ปลาหมอคางดำจะแพร่ระบาดในประเทศไปตลอด และอาจจะลุกลามไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน  ไม่ต่างอะไรกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive Alien Species) ชนิดอื่น ๆ อาทิ ปลาซัคเกอร์ หอยเชอรี ไมยราบยักษ์ ผักตบชวา ที่ยังแพร่ระบาดสร้างความเสียหายมานานแสนนานจนถึงทุกวันนี้

Continue reading “ปลาหมอคางดำ กับการจัดการวิกฤติ”

อาชีพนักประชุม

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

การประชุมเป็นเรื่องสำคัญในแต่ละองค์กร

การประชุมถือเป็นหัวใจให้พนักงานสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ทิศทางที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำ

ผู้บริหารองค์กรที่เก่ง ส่วนหนึ่งสังเกตได้จากการจัดการประชุมให้มีประสิทธิภาพ โดยวัดได้จาก เวลาที่ใช้ในการประชุมไม่นานเกินไป มีวาระการประชุมชัดเจน  ควบคุมการประชุมให้กระชับ มีเป้าหมายว่าจะได้คำตอบหรือแนวทางบางอย่างหลังประชุมเสร็จ ฯลฯ

องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการประชุม จะมีข้อกำหนดชัดเจนให้ผู้เข้าประชุมต้องปฏิบัติตาม ถือเป็นหลักพื้นฐานในการประชุมที่มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล

Continue reading “อาชีพนักประชุม”

Blindness in the red path  บทเรียนจากแอลเบเนีย

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

ไม่นานมานี้ ผู้เขียนมีโอกาสได้เดินทางไปแอลเบเนีย ประเทศเล็ก ๆ แถบเมดิเตอร์เรเนียนในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้  มีขนาดพื้นที่เพียง 18 ล้านไร่  ขนาดเล็กกว่าภาคตะวันออกของไทยเสียอีก

คนไทยอาจจะแทบไม่รู้จักประเทศยุโรปแห่งนี้ แต่บุคคลผู้มีชื่อเสียงระดับโลกคนหนึ่ง คือ แม่ชีเทเรซา นักบุญผู้ช่วยเหลือและต่อสู้เพื่อคนยากไร้ตลอดชีวิต ก็คือชาวแอลเบเนีย

ประเทศแห่งนี้เคยได้สมญาว่า เกาหลีเหนือแห่งยุโรป จากอดีตที่เคยปิดประเทศมายาวนานและมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ทำให้แอลเบเนียได้ชื่อว่าเป็นประเทศยากจนที่สุดในยุโรป

จากความยากจน ความว่างงาน การคอรัปชั่น และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง และการปกครองแบบเผด็จการอันยาวนาน และจากความคิดของผู้นำประเทศที่สร้างสิ่งก่อสร้างไร้ประโยชน์ทั่วประเทศ จนทำให้ประเทศเกือบล้มละลาย

 เชื่อหรือไม่ว่า แอลเบเนียแม้จะเป็นประเทศขนาดเล็กมาก แต่มีบังเกอร์คอนกรีตหรือหลุมหลบภัยมากที่สุดในโลกถึง 173,371 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1980 ในสมัยของประธานาธิบดี Enver Hoxha อดีตจอมเผด็จการผู้นำประเทศผู้ปกครองประเทศมายาวนาน  (1944 -1985) 

ด้วยสาเหตุคือ แม้ว่าแอลเบเนียจะเคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตรัสเซียในยุคสมัยของสตาลิน  แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งกันในสมัย นีกีตา ครุชชอฟ ผู้นำรัสเซียคนต่อมา แอลบาเนียจึงไปมีความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในยุคเหมา เจ๋อ ตงแทน และHoxha กลัวว่ากองทัพโซเวียตจะบุกยึดครอง จึงระดมสร้างหลุมหลบภัยทั่วประเทศ ละลายเงินไปหลายพันล้านดอลล่าร์  เพิ่มงบทางทหาร เกณฑ์คนมาเป็นทหารแปดแสนคนจากพลเมืองไม่ถึงสามล้านคน สร้างภาพให้ผู้คนหวาดกลัวว่า กำลังจะเกิดสงครามใหญ่

ไม่ต่างจากประเทศเกาหลีเหนือ ที่มุ่งพัฒนาอำนาจทางการทหาร มีทหารประจำการมากมาย แต่ผู้คนในประเทศอดตาย

แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดสงครามใด ๆ บังเกอร์นับแสนถูกปล่อยให้ทิ้งร้างอย่างไร้ค่า ผลที่ตามคือเศรษฐกิจในประเทศย่อยยับ คนยากจน ว่างงาน ไม่เกิดการพัฒนาใด ๆ

ทำให้เกิดสภาวะสมองไหลอย่างต่อเนื่องยาวนาน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวพากันอพยพออกนอกประเทศมากขึ้น เพื่อไปแสวงหาโอกาสและชีวิตการทำงานที่ดีกว่าในประเทศอื่น อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส กรีซ อิตาลี ฯลฯ

ไม่แปลกใจที่แอลเบเนียมีประชากรอาศัยอยู่ในประเทศเพียงประมาณ 2.8 ล้านคน แต่อพยพไปอยู่นอกประเทศถึงแปดล้านกว่าคน

ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ ผู้เขียนมักจะแวะดูพิพิธภัณฑ์เป็นหลัก เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของดินแดนแห่งนั้น เช่นเดียวกับที่เมืองหลวงทิรานา ผู้เขียนมีโอกาสเดินชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ตั้งอยู่จัตุรัสกลางเมือง ด้านหน้าอาคารสถาปัตยกรรมแบบโซเวียตสามชั้นเป็นรูปแกะสลักประชาชนชาวแอลเบเนีย  ก่อนเข้าไปเห็นมีรูปอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่เป็นรูปบุรุษบนหลังม้า ข้างหลังมีธงชาติสีแดงตรงกลางเป็นรูปนกอินทรีสองหัว สัญลักษณ์ของประเทศ

พอเข้าไปดูเรื่องราวประวัติศาสตร์ในอาคารพิพิธภัณฑ์สามชั้น จึงรู้ว่าในอดีตแอลเบเนียเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันและจักรวรรดิไบแซนไทน์ จากนั้นจึงถูกยึดครองโดยจักรวรรดิออตโตมัน  และบุรุษบนหลังม้าคือบิดาแห่งชาวแอลเบเนียตลอดกาลชื่อ Skanderbeg (คศ.1405-1468) เป็นนักรบผู้สามารถรวบรวมทหารขึ้นต่อสู้เอาชนะกองทัพของจักรวรรดิออตโตมันที่มีกำลังเยอะกว่า ปลดปล่อยแอลเบเนียจากการยึดครองได้สำเร็จ  แต่สุดท้ายเมื่อเขาตาย แอลเบเนียก็ตกอยู่ภายใต้จักรวรรดิออตโตมันเป็นเวลาห้าร้อยปี และเมื่อจักรวรรดิมุสลิมนี้เสื่อมอำนาจ แอลเบเนียได้ประกาศเอกราชในปีค.ศ. 1912  

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อิตาลี  ภายใต้การนำของเบนิโต มุสโสลินี เคลื่อนกองทัพเข้ายึดครองแอลเบเนียเป็นส่วนหนึ่งของอิตาลี และเผชิญกับการต่อสู้อย่างดุเดือดของแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติ ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำสงครามใต้ดินสู้รบแบบกองโจรกับกองทหารอิตาลีและเยอรมนี  มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก

หลังสงครามโลกสงบลง แอลเบเนียได้เป็นเอกราชอีกครั้ง พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น และประเทศอยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตเป็นเวลานาน แต่ก็ประสบความวุ่นวายและไร้เสถียรภาพทางการเมือง เกิดการชุมนุมประท้วงของกรรมกรที่ต้องการค่าแรงเพิ่ม รัฐบาลใช้กำลังเข้าปราบปราม ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไปทั้งประเทศ จนถึงปีค.ศ. 1991  ผู้นำประเทศยอมถ่ายเทอำนาจ และมีการปฏิรูปการเมือง ปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจเป็นแบบเสรี มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นสาธารณรัฐแอลเบเนีย

ที่น่าสังเกตคือพื้นที่ของอาคารพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาตินี้ เกือบครึ่งหนึ่งอุทิศให้กับการต่อสู้ลุกฮือของประชาชน ที่ต่อสู้กับผู้รุกรานจากภายนอก เพื่อสิทธิ เสรีภาพ และการต่อสู้กับเผด็จการที่ปกครองประเทศมายาวนาน เพื่อตั้งใจเล่าให้คนรุ่นหลังรับทราบว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศนี้สร้างจากเลือดเนื้อของประชาชนมาโดยตลอด

มีนิทรรศการ ภาพถ่าย หลักฐานเชิงประจักษ์ มีด ดาบ ปืน ปืนใหญ่ อาวุธยุทโธปกรณ์สมัยต่าง ๆ  เล่าเรื่องประชาชนที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธสู้กับผู้รุกราน ตั้งแต่จักรวรรดิออตโตมัน กองทัพของนาซีและมุสโสลินีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ยึดครองแอลเบเนีย อาทิจดหมายฉบับสุดท้ายของวีรสตรีสาวที่โดนประหารชีวิตในเยาว์วัย ภาพการประหารชีวิตหมู่นักรบหนุ่มสาวที่ถูกทหารนาซีจับเป็นเชลย และเรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์เมื่อประชาชนมือเปล่าลุกขึ้นสู้กับรัฐบาลเผด็จการ จนล้มตายมากมาย (ช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในประเทศไทยเมื่อปีพ.ศ. 2535) ก่อนที่มีการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง ทำให้ประเทศก้าวสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมไม่กี่สิบปี

ผู้เขียนเดินผ่านรูปปั้นแห่งหนึ่งชื่อ Blindness in the red path

ศิลปินได้ปั้นรูปคนไม่มีหัว ไม่มีตา อันเปรียบเสมือนประชาชนบางกลุ่มที่ถูกเผด็จการชนชั้นปกครองล้างสมองด้วยค่านิยม และอุดมการณ์บางอย่างจนเชื่อสนิทใจ โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องตั้งคำถาม เหมือนเป็นเครื่องจักรที่พร้อมจะออกมาทำร้ายคนที่เห็นต่างกันทางความคิด

คนเหล่านี้จึงไม่มีหัว มืดบอดทางปัญญา แต่เดินเฉิดฉายบนพรมแดง

ไม่ต่างอะไรกับบางกลุ่มในสังคมไทย ที่ถูกบ่มให้เชื่ออุดมการณ์บางอย่างอย่างงมงาย โดยไม่เคยตั้งคำถาม

ชาวแอลเบเนียที่เข้าไปชมเรื่องราวในพิพิธภัณฑ์จึงซึมซับว่า เสรีภาพที่พวกเขาได้มาในปัจจุบัน แผ่นดินที่พวกเขาอยู่ได้อย่างอิสระ แลกมากับชีวิตของประชาชนธรรมดาหลายหมื่นคนในอดีตอันยาวนานอย่างไร

พิพิธภัณฑ์แห่งชาติของแอลเบเนีย จึงเป็นพิพิธภัณฑ์เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของประชาชนชาวแอลเบเนีย ทุกระดับ ทุกชนชั้น ขณะที่อีกประเทศหนึ่ง ประวัติศาสตร์ของประชาชนแทบจะไม่เคยถูกบันทึกไว้เลย

ที่สุดในโลกแบบไทย ๆ

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

เปิดปีใหม่มาไม่นาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ได้ เปิดตัวโครงการ “THAILAND SOFT POWER X GUINNESS WORLD RECORDS CHALLENGE” ประกาศจัดแข่งขัน 5 ที่สุดของโลก หวังขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทย ผ่าน Soft Power  ซึ่งเปิดให้ผู้สนใจสมัครเข้าร่วมแข่งขันในวันที่ 21-27 ก.พ. 2567 ณ สยามพารากอน

การแข่งขันใน 5 หัวข้อที่สุดของโลก เพื่อบันทึกไว้ใน “กินเนสส์บุ๊ก” ซึ่งเป็นหนังสือที่ใช้บันทึกสถิติความเป็นที่สุดในโลกด้านต่างๆ   ได้แก่

1. ใส่นวมต่อยลูกโป่งแตกมากที่สุดใน 1 นาที

2. ใส่กางเกงช้างเยอะที่สุดใน 1 นาที

3. กินสตรีทฟู้ด (ปาท่องโก๋) มากที่สุดใน 1 นาที

4. ใส่หน้ากาก (หน้ากากผีตาโขน) ได้มากที่สุดใน 1 นาที

5. กินป๊อบคอร์นได้เยอะที่สุดใน 1 นาที

ข่าวชิ้นนี้ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แบบทัวร์ลงจากชาวเน็ตพอสมควร ถึงความคิดที่อยู่เบื้องหลังการจัดงานครั้งนี้

Continue reading “ที่สุดในโลกแบบไทย ๆ”

เมื่อรัฐบาลปูพรมสร้างฝายทั่วประเทศ

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

ช่วงที่ผ่านมา มีข่าวว่า ทางกระทรวงมหาดไทย แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ปัญหาความยากจน ด้วยกลยุทธ์

“การสร้างฝายชะลอนํ้าแกนดินซีเมนต์ ทั่วประเทศ”

คณะทำงานดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลัง นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มอบหมายให้ปลัดกระทรวงฯ พิจารณาความเหมาะสมเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมลํ้า โดยมอบหมายให้ กรมโยธาธิการและผังเมือง เป็นแม่งาน รับผิดชอบด้านการจัดทำแบบมาตรฐานและราคากลางฝายชะลอนํ้าแกนดินซีเมนต์

ไม่กี่วันต่อมา หน่วยงานรัฐ เสนอก่อสร้างฝายชะลอน้ำแกนดินซีเมนต์อย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่กำหนดราคากลาง ระหว่าง 500,000-1,143,600 บาท

รัฐบาลชุดนี้ จึงคาดหวังว่า จะแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำด้วยการสร้างฝายชะลอน้ำแกนดินซีเมนต์ทั่วประเทศ

Continue reading “เมื่อรัฐบาลปูพรมสร้างฝายทั่วประเทศ”

Landbridge กับความเห็นของบริษัทเดินเรือ ลูกค้าตัวจริง

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

      “ผู้มีอำนาจฝันไปเรื่อย ไม่มีบริษัทเดินเรือขนส่งระดับโลกไหนจะมาใช้ Landbridge นี้หรอก เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก”ผู้บริหารสายการเดินเรือระหว่างประเทศหลายคน ที่เป็นลูกค้าโดยตรงของโครงการนี้เล่าให้ผู้เขียนฟังตรงกัน

         “ผลของการศึกษาของจุฬาฯ ก็ออกมาแล้วว่า ลงทุนไปหนึ่งล้าน ล้านบาท ไม่คุ้มค่าแน่นอน แต่รัฐบาลไม่ฟัง”

         เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2566  คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน(โครงการแลนด์บริดจ์ ชุมพร-ระนอง) ด้วยมูลค่าการลงทุนโครงการนี้มากถึง 1 ล้านล้านบาท ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความกังวลถึงความไม่คุ้มค่า ของโครงการนี้

Continue reading “Landbridge กับความเห็นของบริษัทเดินเรือ ลูกค้าตัวจริง”

กระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ?

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

ความพยายามในการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นบนยอดภูกระดึงมีมานานกว่าสามสิบปีแล้ว  แต่ทุกครั้งก็เงียบหายไป

วันนี้รัฐบาลได้มีแนวคิดสนับสนุนให้เกิดขึ้นอีก  โดยมีเสียงตอบรับจากคนทั่วไปจำนวนมาก อาทิหอการค้าจังหวัดเลย นักการเมือง คนในพื้นที่ ประชาชนทั่วไป  ด้วยเหตุผลคือ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจในตัวจังหวัดเลย ความสะดวกในการเดินทาง จนดูเหมือนเสียงคัดค้านจากผู้รักธรรมชาติจะกลายเป็นเสียงส่วนน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง  เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศไทย เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงามมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ และเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่สองเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2502 รองจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต่อมาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอุทยานมรดกอาเซียน แห่งที่ 57

ก่อนคิดจะสร้างกระเช้า ลองพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปนี้

Continue reading “กระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง ?”

ศูนย์การค้ากับความรับผิดชอบท้องถนน

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

ผู้เขียนอาศัยอยู่บนถนนสุขุมวิทมาหลายสิบปี เมื่อธุรกิจการค้า การพัฒนาที่ดินเติบโตอย่างก้าวกระโดดบนถนนสายนี้ เห็นศูนย์การค้า โรงแรม คอนโดมิเนียมเกิดขึ้นดอกเห็ดติดต่อกันหลายปี  โดยเฉพาะพื้นที่ริมถนน มักจะถูกกว้านซื้อมาก่อสร้างเป็นศูนย์การค้าหรูหราขนาดใหญ่

แม้จะมีรถไฟฟ้า BTS สายแรกแล่นผ่าน แต่ปัญหาการจราจรบนท้องถนนสายนี้ก็หาได้ลดลงไม่ นับวันกลับเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง  แม้ยามค่ำคืน การจราจรติดขัดก็หาได้ลดลง วันหยุด วันเสาร์อาทิตย์อาจจะติดหนักเป็นพิเศษ เพราะคนเข้าห้างซื้อของกันมากขึ้น และการเดินศูนย์การค้ากลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมืองไม่ต่างจากสวนสาธารณะ

สถานการณ์การจราจรบนถนนสายนี้ ทำให้ผู้เขียนเลิกขับรถส่วนตัว พึ่งรถไฟฟ้าสาธารณะมานานแล้ว แต่ก็อดเห็นใจคนใช้รถบนถนนไม่ได้

ขณะนี้ แถวสุขุมวิทจะมีห้างขนาดใหญ่ดังระดับโลกเตรียมมาเปิด ขณะที่มีศูนย์การค้าขนาดยักษ์อีกแห่งสร้างอยู่แทบติดกัน และก่อนหน้านี้ก็มีศูนย์การค้าหรูหราสร้างมาหลายปีแล้ว

แน่นอนว่า รถที่ติดแล้วต้องติดหนักตลอดสาย ไล่ไปตั้งแต่แถวทองหล่อยาวไปจนถึงสี่แยกปทุมวัน มีศูนย์การค้าขนาดยักษ์นับสิบแห่งสร้างเรียงรายกันเป็นระยะ ไล่ตั้งแต่ Emporium EmQuartier Central Siam Paragon ฯลฯ

แต่ละวันรถนับหมื่นคันที่เข้าๆออกๆ และแถมยังมีรปภ.มายืนห้ามรถบนถนน เพื่อระบายให้รถในศูนย์การค้าออกไปไปก่อน ช่องทางจราจรแทบหายไปหนึ่งช่อง รถบนนท้องถนนก็ติดกันยาวเหยียด

ไม่นับรถแท็กซี่ รถสามล้อที่จอดริมถนนเสียไปอีกหนึ่งเลน เพื่อรอรับผู้โดยสารจากห้าง

และไม่เพียงแต่บนถนนสุขุมวิทเท่านั้น ถนนอีกหลายสายก็มีปัญหารถติดหนักหน้าศูนย์การค้าเช่นกัน

เพื่อนที่เป็นสถาปนิกท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า สาเหตุหนึ่งที่ศูนย์การค้าเกิดขึ้นมากมายในกทม. เพราะอนุมัติง่าย เนื่องจากศูนย์การค้าส่วนใหญ่ไม่ต้องทำ EIA หรือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเหมือนกับการสร้างคอนโดมิเนียมหรือโรงแรม ทำให้ลดขั้นตอนไปเยอะ

กฎหมายสิ่งแวดล้อมหลักที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นที่มาของการจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อ EIA-Environmental Impact Assessment ได้ระบุว่า อาคารที่ต้องทำ EIA คือ

“อาคารที่ใช้ในการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนี่งชั้นใดในหลังเดียวกันตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป”

แต่หากอาคารมีขนาดต่ำกว่า 10,000 ตารางเมตร ก็ไม่ต้องทำ EIA

ซึ่งทำให้ห้างหลายแห่งไม่ต้องทำ EIA และบางแห่งใช้เทคนิคในการก่อสร้าง และช่องโหว่ทางกฎหมาย แม้ว่าตัวอาคารจะเกิน 10,000 ตารางเมตร แต่สามารถก่อสร้างได้โดยไม่ต้องทำ EIA

สถาปนิกในวงการอสังหาริมทรัพย์ท่านหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า “การที่ห้างไม่ต้องทำ EIA เพราะ ถูกตีความว่า เป็นอาคารที่ไม่มีการอยู่อาศัย และ ไม่ได้เป็นการใช้งานแบบเป็นประจำ มีคนเข้ามาทุกวันแบบอาคารสำนักงาน และ เคยมีการพูดคุยกัน ระหว่างการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่จะให้มีการเปลี่ยนกฎกติกาข้อนี้เพื่อให้ต้องยื่น EIA แต่ยังไม่มีการดำเนินการเปลี่ยนแปลง กติกาข้อนี้แต่อย่างใด”

การทำ EIA น่าจะเป็นมาตรการอย่างหนึ่งที่ทำให้บรรดาศูนย์การค้าต้องมีความเข้มงวดในการก่อสร้างอาคาร และความรับผิดชอบต่อสาธารณะ การจราจร อาคารจอดรถและประโยชน์ของส่วนรวม

ในมหานครหลายแห่งทั่วโลก ศูนย์การค้าขนาดใหญ่มักจะตั้งอยู่ตามชานเมือง เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด และ จากข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกพบว่า ประเทศไทยมีรถยนต์ทุกประเภท 42,691,494 คัน อยู่ในกรุงเทพฯ 11,370,143 คัน มากกว่าประชากรในกรุงเทพฯที่มี 5,500,000 คน หากนับรวมประชากรแฝงก็อาจจะร่วม 10 ล้านคน

แน่นอนว่า หลายคนทราบดีว่า การแก้ปัญหาระยะยาวหากทำได้ ก็มีตัวอย่างจากเมืองนอกให้เห็น คือการสร้างระบบขนส่งสาธารณะให้ดี มีโครงข่ายที่เชื่อมโยงกันได้จริง  ทำให้การใช้รถบนท้องถนน ต้องมีราคาจ่ายที่แพงมาก ไม่ว่าการเก็บเงินที่จอดรถหรือการบังคับใช้วันคู่ วันคี่ในการขับรถเข้าไปในย่านที่มีการจราจรพลุกพล่าน

แต่ตอนนี้ห้างยักษ์ใหญ่แบรนด์จากต่างประเทศที่เคยตั้งอยู่นอกกรุงเทพมหานคร กำลังจะขยายสาขาเข้ามาเปิดกลางเมือง

ผู้เขียนลองสอบถามเพื่อนหลายคนได้แสดงความเห็นว่า

“ต้องห้ามมีการรับส่งคนและสินค้าหน้าห้างริมถนน ไม่ว่าจะรถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซค์ ต้องบังคับให้เข้าไปรับส่งในบริเวณห้างเท่านั้น  บางประเทศ เขาบังคับให้ห้างต้องมีพื้นที่ให้รถสาธารณะเข้าไปจอดรับส่งในพื้นที่ของห้างด้วย การมีรถแท็กซี่รถมอเตอร์ไซค์ จอดรอ จอดรับส่งริมถนน มีส่วนสำคัญมากในการทำให้รถติด”

“ห้างที่อยู่ใจกลางเมือง ถ้ามีความรับผิดชอบต่อสังคมจริง จะต้องมีที่จอดรถน้อยๆ แล้วก็ต้องเก็บค่าจอดรถแพงๆด้วย เพื่อให้คนที่ขับรถไปจะต้องจำเป็นจริงๆ ถ้าไม่จำเป็นก็สามารถไปโดยรถโดยสารหรือรถไฟฟ้าได้”

“จะว่าห้างอย่างเดียวก็ไม่ถูก หลายๆ ฝ่ายต้องช่วยกัน เช่น ที่สิงคโปร์ ต้องเสียเงินเพื่อขับรถเข้าเขตเมือง/ย่านธุรกิจ วิธีการนี้ช่วยลดปัญหาจราจร แต่จะทำแบบนี้ต้องมีทางเลือก ขนส่งมวลชน/รถสาธารณะต้องมีรองรับและครอบคลุมทุกพื้นที่”

“ระบบขนส่งมวลชนเข้าไม่ทั่วถึง คนเลยชอบใช้รถแล้วแห่เข้ามาใจกลางโซนสีแดง (พาณิชยกรรม) ไม่ว่าจะเป็นโซนอโศก ราชประสงค์ สยามหรือสามย่านก็ตาม เนื่องจากการจะเข้ามาถึงโซนเหล่านี้ได้จะต้องขับรถเข้ามาหรือไม่ก็ต้องใช้ระบบขนส่งมวลชนหลายต่อที่ทำให้ลำบากในการเดินทาง คนก็เลยเลือกที่จะนั่งรถสบาย ๆ กันและเข้ามาติดตรงทางเข้าห้างโซนสีแดง “

“วิธีแก้ไขปัญหารถติดในต่างประเทศ

* มะนิลา: วันคู่ อนุญาตให้รถที่ทะเบียนลงท้ายด้วยเลขคู่ขับเข้ามาในเขตที่การจราจรแออัด / วันคี่ อนุญาตให้รถที่ทะเบียนลงท้ายด้วยเลขคี่ขับเข้ามาในเขตที่การจราจรแออัด

* สิงคโปร์: ทำให้การเข้าใช้ถนนบางเส้นเเพงขึ้นมากๆ และไม่คิดค่าผ่านทางช่วงเช้า เพื่อสนับสนุนให้คนบางส่วนเดินทางในชั่วโมงที่ไม่เร่งด่วนมากนัก + เก็บภาษีการบริโภคเเพงๆ ให้ประมูลสิทธิ์การมีทะเบียนรถในราคาเเพงกว่าราคารถยนต์ + สร้างระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกกว่าการขับรถยนต์

คนสิงคโปร์นิยมใช้รถไฟฟ้ากับรถบัสมากกว่าเพราะสะดวกมาก ตรงเวลา ราคาไม่แพง ควันไม่ดำ ขับตามกฎจราจร ปลอดภัยมีกล้อง แอร์เย็น จอดตรงป้าย ราคาตั๋วโดยสารของสิงคโปร์ราคาพอๆกับกรุงเทพฯ”

ความจริงต้องยอมรับคือ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่มีส่วนในการทำให้เกิดการจราจรติดขัด แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของห้างเหล่านี้จะหามาตรการในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดเหล่านี้อย่างไรบ้าง

 นอกจากเอารปภ. มายืนโบกไม่ให้รถทางตรงไป เพื่อจะระบายรถในห้างตัวเองไปก่อน