“ตอนนี้พวกมึงเลี้ยงนกกระเรียนไปก่อนนะ อีกหน่อยนกมันจะเลี้ยงพวกมึงเอง”
คำพูดสั้นๆของนักการเมืองผู้กว้างขวางในจังหวัดบุรีรัมย์ ต่อหน้าบรรดาผู้นำท้องถิ่นในอำเภอเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน
ได้ช่วยคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวนากับนกจากการปล่อยนกกระเรียนไทยคืนถิ่นในธรรมชาติบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก
ก่อนหน้านี้ นกกระเรียนไทย มีเรื่องเล่ามากมายกว่าจะเดินทางมาถึงตรงนี้
……………………………
คนส่วนมากไม่ทราบมาก่อนว่า นกกระเรียนไทย (Eastern Sarus Crane)
ได้สูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยนานมากแล้ว
เหลือเพียงความทรงจำ มีชื่อเป็นหนึ่งในสิบห้าชนิดของสัตว์ป่าสงวนไทย
ในบรรดานก 18,000 ชนิดบนโลกนี้นกกระเรียนนับได้ว่าเป็นนกที่สง่างามติดอันดับต้น ๆ
จากรูปร่างอันเพรียวบาง สูงเป็นสง่าดูอ่อนไหวเวลาย่างกราย ท่าเต้นรำเกี้ยวพาราสี
มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเมื่อกระพือปีกขึ้นโบยบินแล้วเป็นความงดงามอันเหลือเชื่อ
นกกระเรียนเป็นนกน้ำขนาดใหญ่ ทั่วโลกพบ 15 สายพันธุ์และนกกระเรียนไทยจัดว่า
เป็นนกขนาดใหญ่ที่สุด โตเต็มวัย อาจสูงท่วมหัวคน คือ 1.8เมตรน้ำหนักร่วม 10 กิโลกรัม
จึงเป็นเป้าสายตาของนักล่าได้ง่าย แม้ว่าในอดีตจะมีบันทึกการพบนกกระเรียนไทยเป็นจำนวนมาก
ตามทุ่งนาและหนองน้ำ
บันทึกเรื่อง “ลานนกกระเรียน” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ในสมัยรัชกาลที่ 5กล่าวถึงการทำรังวางไข่ของนกกระเรียนไทยจำนวนนับหมื่นตัว
ในบริเวณทุ่งมะค่าจังหวัดนครราชสีมา จากนั้นการล่านกกระเรียนก็แพร่หลาย
ควบคู่ไปกับการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกเค้า
ไม่กี่สิบปี มีการพบนกกระเรียนไทยฝูงสุดท้ายบินผ่านจังหวัดเชียงใหม่ในปีพ.ศ. 2488
ปี 2507 มีรายงานว่าพบนกกระเรียนไทย 4 ตัวตัวที่วัดไผ่ล้อม จังหวัดปุทมธานี
จนถึงปี 2511พบลูกนกกระเรียนสองตัวบริเวณชายแดนไทยเขมรแถวจังหวัดสุรินทร์
เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้นำมาเลี้ยงดู และอยู่รอดในกรงจนถึงปี 2527
จากนั้นไม่มีใครพบเห็นนกกระเรียนในธรรมชาติอีกเลย
อย่างไรก็นักวิจัยสัตว์ป่าของสวนสัตว์โคราชได้พยายามนำเอานกกระเรียนไทยที่ยังพอเห็นตามธรรมชาติ
ในประเทศกัมพูชามาทดลองเพาะเลี้ยงในกรง โดยในปี 2533ได้รับบริจาคนกกระเรียนจากชาวบ้าน
แถบชายแดนกัมพูชา27 ตัวมาเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
วันชัย สวาสุ อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการสวนสัตว์นครราชสีมาผู้อยู่เบี้องหลัง ได้เล่าว่า
“ ในช่วงแรกเราอาศัยการลองผิดลองถูกเนื่องจากข้อมูลนกกระเรียนไทยตอนนั้นน้อยมาก
และหาได้ยาก เราใช้เวลาเจ็ดปี จึงผสมพันธุ์สำเร็จได้ลูกนกกระเรียนคู่แรกในปี 2540
แต่ก็ยังน้อยมาก และใช้เวลานับสิบปี พัฒนาเทคนิคต่าง ๆ จนพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
สามารถมีลูกตามธรรมชาติได้น่าพอใจ ”
สวนสัตว์นครราชสีมาได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์การเพาะขยายพันธุ์นกกระเรียนไทยใหญ่ที่สุดในโลก
มีนกกระเรียนประมาณ 120 ตัว
แต่เป้าหมายต่อมาของนักอนุรักษ์สัตว์ป่า ที่ชี้วัดความสำเร็จไม่ใช่อยู่ที่การเพาะเลี้ยงอย่างเดียว
แต่ต้องทำให้นกกระเรียนไทยคืนถิ่นอาศัยในธรรมชาติได้
การเพาะเลี้ยงนกกระเรียนในกรงว่ายากแล้วแต่การปล่อยให้นกกระเรียนคืนถิ่นในธรรมชาติ
อย่างปลอดภัยอาจจะยากกว่า
“สิ่งที่ยากที่สุดคือนกกระเรียนได้สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติมาร่วมห้าสิบปีแล้ว
เราไม่มีองค์ความรู้เลยข้อมูลที่ได้มาก็มาจากเรื่องเล่าของคนเฒ่าคนแก่
เรายังคลำทางกันอยู่ว่าจะทำอย่างไร จะปล่อยที่ไหน ปล่อยอย่างไร จำนวนเท่าไร
และควรจะดำเนินงานอย่างไร”นักวิจัยคนหนึ่งจากกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช
ที่มาร่วมทีมได้เล่าปัญหาใหญ่ให้ฟัง
แต่เมื่อเริ่มต้นการทำงานเป็นทีมจากนักวิจัยหลายส่วน โดยเฉพาะองค์ความรู้จากมูลนิธิอนุรักษ์นกกระเรียนสากล ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ส่งทีมงานมาเป็นที่ปรึกษาอย่างใกล้ชิด
การนำนกกระเรียนกลับสู่ธรรมชาติจึงได้เริ่มต้นขึ้น โดยมีพื้นที่เหมาะสมคือบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอ่างเก็บน้ำสนามบิน
เนื่องจากมีหลักฐานภาพถ่ายยืนยันว่าจังหวัดบุรีรัมย์เคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของนกกระเรียนในอดีต
และอ่างเก็บน้ำแห่งนี้เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะกับการปล่อยนกกระเรียนคืนถิ่น
ในปีพ.ศ.2554 ได้มีการปล่อยนกกระเรียนไทยคืนสู่พื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติบริเวณอ่างเก็บน้ำทั้งสองแห่ง จนถึงปัจจุบันจำนวน 86 ตัว และจากการติดตามอย่างใกล้ชิดพบว่านกกระเรียนสามารถรอดชีวิตได้กว่า 60%
กรกฎาคม 2561 ช่วงเวลาที่คนไทยกำลังสนใจข่าวเด็กทีมหมูปาติดน้ำถ้ำหลวง
เย็นนั้น ผู้เขียนยืนอยู่บริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มากเฝ้ามองนกกระเรียนไทยสี่ห้าตัว
ถลาร่อนข้ามหัวลงมาคุ้ยหาหอยตามท้องทุ่ง ผมค่อย ๆเขยิบเข้าไปใกล้
เค้าหันมามองเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงจิกหาอาหาร
นกกระเรียนตัวใหญ่ สีเทาเห็นตุ่มหนังสีแดงชัดเจนกระจายไปบริเวณแก้ม ท้ายทอยและลำคอส่วนบน
นกกระเรียนย่างกรายเดินหากินในท้องทุ่งตามธรรมชาติเป็นความงามที่มิอาจอธิบายได้
นอกจากมาเห็นด้วยตาจริง ๆ
แต่ในความงามมีความกังวลของนักวิจัยอีกสองประเด็นคือ นกกระเรียนใช้พื้นที่หากินมาก
คือบริเวณพื้นที่นาข้าวรอบ ๆ อ่างเก็บน้ำด้วยซึ่งปัญหาการใช้สารเคมีของชาวนา
อาจจะส่งผลร้ายต่อนกกระเรียน แต่โชคดีที่ชาวนาแถวนั้นเริ่มทำเกษตรอินทรีย์ ไม่ค่อยใช้สารเคมี
แต่อีกปัญหาคือ นกกระเรียนเวลาเดินย่ำหากินในนาข้าว จะสร้างความเสียหายกับต้นข้าวเป็นวงกว้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น เจ้าหน้าที่เขตห้ามล่า ฯ พามาสำรวจบริเวณรังวางไข่ในที่นาของชาวบ้านบริเวณไม่ไกลนัก
ผู้เขียนเห็นร่องรอยความเสียหายของต้นข้าวตามทางที่นกกระเรียนย่ำไปมากทีเดียว
“ชาวบ้านบางคนก็ไม่ว่าอะไร ดีใจที่เห็นนกกระเรียนทำรังในนาของเขาแต่บางคนก็ไม่พอใจ นาข้าวเสียหาย”
การที่นกกระเรียนจับคู่ผสมพันธุ์และทำรังวางไข่กลางกลางท้องนาเป็นครั้งแรกรอบหลายสิบปี
ถือว่าเป็นการนำนกกระเรียนไทยกลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างแท้จริง
มีเรื่องเล่าว่า นกกระเรียนทำรังวางไข่ตามท้องนาครั้งแรกในปีพ.ศ. 2558
ชาวบ้านพบไข่สองฟองสีขาวนวลคล้ายไข่เป็ดมีขนาดใหญ่กว่า ด้วยความไม่รู้ว่าเป็นไข่อะไร
เลยเอาไปกินแต่หลังจากนั้นชาวบ้านก็ช่วยกันดูแล พอปีรุ่งขึ้นมาก็พบรังไข่ 5 รัง
ลูกนกรอดตาย 3 ตัวปีที่แล้วพบ 11 รัง รอดตาย 7 ตัว
สักพักนกกระเรียนไทยสองตัวก็บินร่อนลงมากลางทุ่งนาเราเฝ้าดูพวกเค้าเดินหากินไม่ห่างจากรัง
บางครั้งก็กระพือปีกหยอกล้อ เกี้ยวพาราสีกันกลางทุ่ง แต่พอเราเข้าไปใกล้พวกเค้าจะส่งเสียงร้องดังลั่น
ราวกับเตือนว่า “อย่าเข้าใกล้นะนี่คืออาณาเขตของฉัน”
แน่นอนว่าทุกย่างก้าวของพวกเค้า ต้นข้าวที่เริ่มออกรวงก็โดนเหยียบย่ำเป็นทางยาว
จากการศึกษาพบว่านกกระเรียนไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในนาข้าวเป็นสัดส่วนมากกว่า 40%
ซึ่งทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้แจ้งให้กับชุมชนรอบ ๆว่า ทางการยินดีชดใช้ให้กับนาข้าวที่ได้รับความเสียหาย
แต่ในระยะยาวการอยู่ร่วมกันระหว่างนกกระเรียนไทยกับชาวนาจะสร้างประโยชน์ร่วมกันได้
นอกจากชาวนาจะหันมาปลูกข้าวอินทรีย์ปลอดสารแล้วบริเวณแถวนี้จะเป็นแหล่งธรรมชาติสำคัญ
ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาดูนกกระเรียนแห่งเดียวในประเทศสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่น
ไม่ต่างจากแหล่งดูนกกระเรียนในเกาะฮอกไกโดที่ดึงดูดนักดูนกจากทั่วทุกมุมโลก
หลายเดือนก่อนเมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายที่ดูแลนกกระเรียนได้เข้าพบนักการเมืองชื่อดังของจังหวัดบุรีรัมย์
ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์นกกระเรียน ไม่นานนักมีการเรียกประชุมผู้นำท้องถิ่น
และคำพูดสั้น ๆของนักการเมืองที่มีวิธีพูดกับผู้นำชุมชนให้ช่วยกันดูแลนกกระเรียนด้วยภาษาชาวบ้านว่า
“ตอนนี้พวกมึงเลี้ยงนกกระเรียนไปก่อนนะ อีกหน่อยนกมันจะเลี้ยงพวกมึงเอง”
ติดตามกันต่อไปว่า วลีสั้น ๆ นี้จะเป็นจริงไหม
Hi there! Such a nice short article, thank you!
LikeLike