วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

“การระบาดของปลาหมอคางดำในระบบนิเวศธรรมชาติถือเป็นหายนะทางนิเวศครั้งรุนแรงที่สุดที่เราเคยเห็นและรับรู้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราทำอะไรไม่ได้ และต้องก้มหน้าปล่อยให้เป็นไป”
ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์
นักนิเวศวิทยา
เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา สื่อมวลชนหลายฉบับได้ลงข่าวเกี่ยวกับปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ ว่า หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องได้มีการจัดการปัญหานี้อย่างจริงจังได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
“นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า จากการทุ่มเทดำเนินมาตรการควบคุมและจัดการปลาหมอคางดำอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ส่งผลให้สถานการณ์การระบาดในภาพรวมดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยผลการสำรวจล่าสุดในเดือนธันวาคม ปี 2567 ที่ผ่านมา ในกว่า 190 แม่น้ำและลำคลอง พบว่าพื้นที่การระบาดลดลงจาก 19 จังหวัด เหลือ 17 จังหวัด โดยจังหวัดปราจีนบุรีและพัทลุงที่พบปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำในปริมาณที่น้อยมากหรือแทบไม่พบเลย และขณะที่จังหวัดอื่นพบปลาลดลงอย่างต่อเนื่อง…” (ประชาชาติธุรกิจ 12 มกราคม 2568)
ปลาหมอคางดำ จัดว่าเป็น “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน” (Invasive alien species) หมายถึง ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (alien species)เกิดขึ้นในที่ที่แตกต่างจากพื้นที่การแพร่กระจายตามธรรมชาติ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นบางชนิดแพร่ระบาดจนกลายเป็นรุกราน คุกคามระบบนิเวศ แหล่งที่อยู่อาศัย หรือชนิดพันธุ์อื่น ๆ โดยมีหลายปัจจัยที่มีผลเกื้อหนุนให้ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นตั้งรกรากและรุกรานในที่สุด
ปี 2553 บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทเดียวที่ได้รับอนุญาตจากกรมประมงนำเข้าปลาหมอคางดำ จำนวน 2,000 ตัว โดยมีศูนย์ทดลองอยู่ที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จากนั้นปลาหมอคางดำได้ทยอยตายเกือบทั้งหมดภายใน 3 สัปดาห์ บริษัทอ้างว่าได้ทำลายและฝังกลบซากปลาโดยการโรยด้วยปูนขาวและแจ้งให้กรมประมงทราบด้วยวาจา โดยไม่ได้จัดทำรายงานอย่างเป็นทางการและเก็บซากปลาส่งให้กับกรมประมงตามเงื่อนไขการอนุญาต
ปี 2555 เกษตรกรในพื้นที่ตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม พบการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นครั้งแรก แต่ไม่มีหน่วยงานใดสนใจจริงจัง ไม่มีบริษัทใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ มีแต่ความเงียบ
หลายปีผ่านไป ปลาหมอคางดำได้ระบาดไปหลายจังหวัด ในบ่อ และคลองธรรมชาติ กินแพลงค์ตอน สัตว์น้ำวัยอ่อน ทำให้กุ้ง ปลา หอย และปูที่เลี้ยงในบ่อถูกทำลายจนหมด รวมไปถึงสัตว์น้ำอื่นในแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากแทบล้มละลาย
แต่ดูเหมือนข้อมูลของฝ่ายราชการจะแตกต่างจากชาวบ้านหลายจังหวัดที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ตัวแทนประชาชนจาก 19 จังหวัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของปลาหมอคางดำและผู้สนับสนุนรวมกันกว่า 200 คน รวมพลบริเวณถนนสีลม เดินทางด้วยเท้าไปยังตึกซีพีทาวเวอร์ เรียกร้องให้บริษัทซีพีเอฟแสดงความรับผิดชอบต่อปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำ พร้อมป้ายข้อความเรียกร้องต่างๆเช่น “ผู้ก่อปัญหาสิ่งแวดล้อม ผู้นั้นต้องรับผิดชอบ” “ใครเอาเข้ามา ก็เอาคืนไป”
นายธีระ วงษ์เจริญ ผู้นำเกษตรกรจากจังหวัดจันทบุรี อ่านคำแถลงเรียกร้องให้ซีพีเอฟซึ่งเป็นเอกชนรายเดียวที่นำเข้าปลาหมอคางดำเข้ามาเมื่อปี 2553 และต่อมาพบการระบาดในบริเวณคลองติดกับฟาร์มและใกล้ฟาร์ม ให้แสดงความรับผิดชอบ “ซีพีเอฟแถลงเมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมาว่า เฉพาะไตรมาส 3 บริษัทมีผลกำไรมากถึง 7.3 พันล้านบาท ในฐานะบริษัทมหาชน ควรแบ่งผลกำไรเหล่านั้นคืนสู่สังคมเพื่อแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ” นายธีระกล่าว
ทุกวันนี้ สถานการณ์ผลกระทบของปลาหมอคางดำระบาดไปอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ได้พบการระบาดในคลอง 7 ใกล้ฟาร์มของบริษัทเอกชนดังกล่าว จนบัดนี้ได้ขยายการระบาดออกไปถึง 19 จังหวัด ได้แก่ 1.จันทบุรี 2.ระยอง 3.ฉะเชิงเทรา 4.สมุทรปราการ 5.นนทบุรี 6.กรุงเทพมหานคร 7.นครปฐม 8.ราชบุรี 9.สมุทรสาคร 10.สมุทรสงคราม 11.เพชรบุรี 12.ประจวบคีรีขันธ์ 13.ชุมพร 14.สุราษฎร์ธานี 15.นครศรีธรรมราช 16.สงขลา 17.ชลบุรี 18.พัทลุง และ 19.ปราจีนบุรี สร้างผลกระทบต่อเกษตรกร ชุมชน ประชาชน และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ และความมั่นคงทางอาหารโดยรวมอย่างร้ายแรง
นายสามารถ สะกวี จากเครือข่ายความมั่นคงทางอาหาร ภาคใต้ระบุว่า “ขณะนี้ปลาหมอคางดำได้ระบาดอย่างหนักในพื้นที่หลายร้อยตารางกิโลเมตรบริเวณลุ่มน้ำปากพนัง ในจ.นครศรีธรรมราช ยันคาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา ทำลายสายพันธุ์ปลาท้องถิ่นแทบหมดสิ้น เชื่อว่าขณะนี้ปลาหมอคางดำกำลังพักตัวและจะระบาดในทะเลสาบสงขลาซึ่งเป็นศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพสำคัญของไทยและของโลกในไม่ช้า”
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า บ่อกุ้งขนาด 40 ไร่บริเวณตำบลยี่สาร อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ชาวบ้านจับได้แต่ปลาหมอคางดำน้ำหนักรวม 6,000 ก.ก. ขายได้กิโลกรัมละ 3 บาท ประสบปัญหาขาดทุนยับเยิน
ในฐานะที่ผู้เขียนติดตามปัญหาการระบาดของปลาหมอคางดำมาตั้งแต่แรก ต้องยอมรับว่า ปลาชนิดนี้มีความสามารถในการแพร่พันธุ์ได้อย่างดีเยี่ยมแทบไม่น่าเชื่อ ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ทำให้ปลาหมอชนิดนี้ระบาดไปทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ทำลายสัตว์น้ำชนิดอื่น ทั้งปลา กุ้ง หอย อย่างยับเยิน ชาวบ้าน ชาวประมงต่างสิ้นเนื้อประดาตัว มูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจและการฟื้นฟูระบบนิเวศหลายหมื่นล้านบาท
ดูเหมือนการระบาดของปลาหมอคางดำจะอยู่ในแหล่งน้ำ แม่น้ำ ลำคลองไปอีกนานแสนนาน ไม่ต่างจากปัญหาการระบาดของหอยเชอรี่ชั่วประเทศที่กัดกินต้นข้าวในนาข้าว สร้างปัญหาให้กับชาวนามาตลอดสี่สิบกว่าปีที่ต้องดิ้นรนแก้ปัญหาด้วยตนเองในการกำจัดหอยเชอรี่ และทำให้ต้นทุนการปลูกข้าวเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทางจบสิ้น ในขณะที่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก็ไม่สนใจ ไม่รับรู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
ในอนาคตการระบาดของปลาหมอคางดำจึงน่าจะเป็นหายนะทางระบบนิเวศครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมไทย
แต่ที่น่าเศร้าคือทางการไม่สามารถหาคนรับผิดชอบไม่ได้ ทั้งๆที่มีหลักฐานว่า บริษัทใดคือผู้นำเข้าปลาชนิดนี้ และด้วยความประมาททำให้ปลาหมอคางดำหลุดออกไปแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำธรรมชาติจนระบาดไปทั่วน่านน้ำ
แต่รัฐบาลไม่กล้าทำอะไร จนถึงปัจจุบันนี้ รัฐบาลไม่เคยมีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเลยว่า ใครเป็นผู้กระทำผิด อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายในระบบนิเวศอย่างรุนแรง
นับวันยิ่งชัดเจนว่า ปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้าน คนตัวเล็กตัวน้อยทั่วไป ไม่อยู่ในความใส่ใจของผู้มีอำนาจ และยิ่งหากกระทบกระเทือนกับบรรดาผู้คุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศแล้ว ยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีก
เราเคยเห็นภาพผู้นำตีกอล์ฟกับอภิมหาเศรษฐีบ่อยครั้ง แต่แทบจะไม่เคยเห็นผู้นำนั่งจับเข่าคุยกับชาวบ้านอย่างจริงจังถึงปัญหาความเดือดร้อนของพวกเขา นอกจากไปแจกของ หรือผัดกับข้าวแจกชาวบ้าน
ในปี 2567 รัฐบาลได้ประกาศให้การระบาดของปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติ มีการอนุมัติงบประมาณ 450 ล้านบาท และมีโครงการจับปลาหมอคางดำโดยรับซื้อเพื่อทำปุ๋ยชีวภาพ และปล่อยปลานักล่า เป็นต้น แต่กลับไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง จนขณะนี้ปลาหมอคางดำได้ขยายระบาดออกไปเพิ่มขึ้นสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างหนัก
เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและจับสัตว์น้ำตามธรรมชาติบริเวณใกล้ชายฝั่งจำนวนมากได้รับผลกระทบ เช่น ต้องเป็นหนี้สิน สูญเสียที่ดิน และบางรายถึงขั้นต้องฆ่าตัวตาย เฉพาะที่ จ.สมุทรสงคราม ความเสียหายจากการรวบรวมข้อมูลของสภาทนายความระบุว่า เกษตรกรได้รับผลกระทบคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 2,486 ล้านบาท ส่วนความเสียหายทั้งระบบที่มีต่อประชาชนและระบบนิเวศมหาศาลนั้นอาจสูงหลายแสนล้านบาทหรือมากกว่าไม่อาจประเมินค่าได้
จนถึงปัจจุบัน กรมประมงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มิได้ดำเนินการรวบรวม ข้อมูล ข้อเท็จจริง ที่ชัดเจน เพื่อหาผู้กระทำความผิด ที่ต้องรับผิดชอบต่อการระบาดของปลาหมอคางดำ และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อระบบนิเวศน์ ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน 19 จังหวัด รวมถึงค่าใช้จ่ายที่รัฐต้องเสียไปในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย “
ปล่อยให้เวลาและความนิ่งเฉยของผู้รับผิดชอบทำงานไปเงียบ ๆ และสุดท้ายชาวบ้านก็รับเคราะห์ไปเหมือนกับหลายเหตุการณ์ในอดีต