รำลึกถึง‘กูปรี’ สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์จากสงครามกับการล่าสัตว์


เรื่อง วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ผู้เขียนเดินป่าอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม บนเทือกเขาพนมดงรัก กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา

เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดมแห่งนี้เป็นภูเขาสูงชัน สภาพป่าอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ อาศัยอยู่อย่างชุกชุม อาทิ กระทิง เสือลายเมฆ และล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2567 เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าได้ตั้งกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่า และพบภาพจระเข้น้ำจืดสายพันธุ์ไทยซึ่งจัดอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งในสภาพธรรมชาติจำนวน 1 ตัว ขึ้นมานอนผึ่งแดดในบริเวณเนินทรายริมแม่น้ำลำโดมใหญ่

แต่ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้น คือป่าแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่อยู่ของ ‘กูปรี’ สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปแล้วจากประเทศไทย ตามรายงานขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือ IUCN และเป็นเหตุผลสำคัญในการจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ใน พ.ศ. 2520

ภาพกูปรีในป่าทางภาคตะวันออกของกัมพูชาใน พ.ศ. 2511 โดย Pierre Pfeffer ถ่ายประมาณช่วง พ.ศ. 2511

กูปรีเป็นสัตว์ป่าที่มีถิ่นกำเนิดอยู่เฉพาะในประเทศกัมพูชา ไทย ลาว เวียดนาม คาดว่าเมื่อ 100 กว่าปีก่อนมีประมาณ 2,000 ตัว หากินอยู่ตามป่าโปร่งที่มีทุ่งหญ้าสลับป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง ในประเทศไทยพบบริเวณชายแดนไทย กัมพูชา ลาว มันมักจะเดินหากินในป่าที่มีอาณาเขตติดต่อกัน ต่อมาเกิดสงครามในกัมพูชา มีการตัดถนน การล่าสัตว์ และวางกับระเบิดจำนวนนับล้าน ๆ ลูกฝังอยู่บริเวณชายแดน ตั้งแต่นั้นมามันก็ค่อย ๆ หายไปจนไม่มีผู้พบเห็นเป็นหลักฐานยืนยันอีกเลย

การล่ากูปรีในป่ากัมพูชา ภาพแรกถ่ายโดย James Mellon ถ่ายประมาณช่วงทศวรรษ 2500

ในอดีต นพ.บุญส่ง เลขะกุล นักอนุรักษ์ธรรมชาติคนสำคัญ เคยบันทึกว่า เมื่อ พ.ศ. 2488 เคยพบฝูงกูปรีในพื้นที่แถบเทือกเขาพนมดงรัก ชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา

ในภาคอีสานเคยมีกูปรีมาแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เมื่อสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ทางทิศใต้ของขุขันธ์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยังมีฝูงกูปรีเป็นฝูง ๆ ฝูงสุดท้ายที่จะหมดสิ้นแผ่นดินไทยก็คือฝูงที่ป่าดงอีจาน อำเภอนางรอง ใน พ.ศ. 2491 อีก 6 ตัว

พ.ศ. 2518 กรมป่าไม้รายงานว่าพบฝูงกูปรีบริเวณป่าชายแดนจังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 20 ตัว

ใน พ.ศ. 2520 Prince Bernhard องค์ประธานกองทุนสัตว์ป่าโลกในสมัยนั้นที่ได้ทราบข่าวรายงานการค้นพบกูปรี จึงทรงพระราชหัตถเลขาถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ขอทรงให้พิจารณาคุ้มครองป่าบริเวณชายแดนของประเทศไทย เพื่อการอนุรักษ์พื้นที่อาศัยกูปรี รองรับการเข้ามาหากินได้อย่างปลอดภัย 

จากรายงานที่ว่าช่วงฤดูฝนกูปรีจะอพยพจากป่าในกัมพูชาข้ามมาหากินบริเวณป่าฝั่งไทยที่อยู่บนพื้นที่สูงกว่า พอหมดฝนก็จะข้ามไปป่าฝั่งกัมพูชาที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์กว่า จึงเป็นที่มาของการสำรวจประกาศจัดตั้งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก เพื่อเป้าหมายการอนุรักษ์กูปรี คือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดมและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก

ผู้เขียนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เดินเข้าไปในป่าซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยของวัวป่าชนิดหนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และเรื่องราวของกูปรียังเป็นเรื่องลึกลับอยู่จนทุกวันนี้

กูปรีชอบหากินในป่าโปร่งที่มีทุ่งหญ้าสลับป่าเต็งรังและป่าดิบแล้ง บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ชายแดนไทย-กัมพูชา 
ภาพ : วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

เราเดินป่าไปกับชาวบ้านแห่งหมู่บ้านซำหวาย ที่ตั้งบ้านเรือนอยู่รอบ ๆ ป่า ชาวบ้านเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการช่วยดูแลเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และได้ลองสอบถามว่ามีใครเคยได้ยินเรื่องราวของกูปรีบ้าง

“สมัยผมเป็นเด็ก เคยได้ยินพรานคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเล่าให้ฟังว่าเวลาเข้าป่าบนเทือกเขาพนมดงรักเคยเห็นตัวกูปรี แต่พรานเหล่านี้ตายไปนานแล้ว” ปรึม แก้วลึก ชาวบ้านซำหวายคนหนึ่งเล่าให้ฟัง

กูปรี หรือ โคไพร เป็นสัตว์กีบคู่ ตัวโต โคนขาใหญ่ ตัวผู้ มีขนสีดำ ขนาดความสูง 1.71 – 1.90 เมตร ขนาดลำตัว 2.10 – 2.22 เมตร น้ำหนักตัวประมาณ 680 – 910 กิโลกรัม เขาตัวผู้จะโค้งเป็นวงกว้าง แล้วตีวงโค้งไปข้างหน้า ปลายเขาแตกออกเป็นพู่คล้ายเส้นไม้กวาดแข็ง ส่วนตัวเมียมีขนสีเทา เขาตีวงแคบแล้วม้วนขึ้นด้านบน ไม่มีพู่ที่ปลายเขา

ใน พ.ศ. 2525 มีข่าวพรานท้องถิ่นพบฝูงกูปรีเข้ามาหากินในผืนป่าพนมดงรัก ไต่ถามลักษณะรูปร่างบอกได้ตรงตามลักษณะกูปรี ทางกรมป่าไม้ได้ร่วมทำแผนติดตาม ยิงยาสลบ และประสานทางทหารเตรียมขนย้ายด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อนำมาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ แต่คณะติดตามเหยียบกับระเบิดที่ชายแดนและฝูงกูปรีกลับลงไปฝั่งเขมรแล้ว ภารกิจจึงไม่สำเร็จ

และใน พ.ศ. 2549 เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย ออกลาดตะเวนป่าบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ใกล้รอยต่อประเทศกัมพูชา และ สปป.ลาว บังเอิญพบกับสัตว์ขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายกระทิงจำนวน 3 ตัว หากินอยู่ในทุ่งหญ้าโล่ง แต่มีเขาที่แปลกกว่าเขาของกระทิง คือเขาจะบิด และมีตัวสูงใหญ่กว่าลักษณะต่าง ๆ ค่อนข้างใกล้เคียงกับกูปรี สัตว์ป่าสงวนของประเทศไทย และไม่เคยมีรายงานการค้นพบตัวเป็น ๆ มานานกว่า 30 – 40 ปีแล้ว หลังจากนั้นทางกรมอุทยานฯ จึงส่งทีมเจ้าหน้าที่ออกซุ่มสังเกตการณ์เพื่อตามรอยกูปรีในป่าชายแดนไทย ลาว กัมพูชา แต่สุดท้ายก็ไม่พบหลักฐานภาพถ่ายอะไรเพิ่มเติม

ครั้งนั้นถือเป็นครั้งสุดท้ายที่มีข่าวว่ามีคนพบเห็น แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันถึงการพบกูปรีในประเทศ

กูปรีเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปจากป่าของไทยแล้ว ปัจจุบันไม่มีการรายงานการพบ และในรายงานของ IUCN ระบุว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้วในเวียดนาม ส่วนในกัมพูชาและลาวที่เมื่อ 50 ปีก่อนเคยมีประมาณ 50 ตัว ปัจจุบันคาดว่าอาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว (Possibly Extinct) เหลือเป็นเพียงสัตว์สัญลักษณ์ประจำชาติกัมพูชา

กูปรีเป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศกัมพูชา
ภาพ : Christian Pirkl

Dr. H.J. Coolidge นักวิทยาศาสตร์คนสำคัญของสหรัฐอเมริกาเคยศึกษาลักษณะทางกายภาพของกูปรี และลงความเห็นว่ามีลักษณะแตกต่างจากกระทิงและวัวแดง กูปรีมีลักษณะทางกายภาพค่อนข้างโบราณ มีลักษณะคล้ายวัวป่ายุคน้ำแข็งของเอเซีย ซึ่งเคยพบเมื่อ 6 แสนปีที่ผ่านมา และฝูงกูปรีมีชีวิตอยู่บนโลกได้มานานแสนนาน ปรับตัวเข้ากับภัยจากธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่จะสูญพันธุ์ไปด้วยน้ำมือของมนุษย์เมื่อ 30 – 40 ปีที่ผ่านมา ด้วยภัยจากสงครามและการล่าสัตว์

เขากูปรี สังเกตเขาตัวผู้ด้านขวาจะมีพู่ที่ปลายเขา
ภาพ : นพ.บุญส่ง เลขะกุล

ผู้เขียนมองไปทางเทือกเขาพนมดงรัก ชาวบ้านที่ไปด้วยบอกว่าทุกวันนี้ยังมีกับระเบิดอีกมหาศาลบนเทือกเขาที่ยังไม่มีการเก็บกู้ระเบิดแต่อย่างใด ป่าแถวนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปมานานแล้ว

“ไม่แน่นะ กับระเบิดอาจจะปกป้องกูปรีจากมนุษย์ก็ได้ หรือไม่ก็เดินเหยียบกับระเบิดจนสูญพันธุ์ไปหมดแล้วก็ได้ ใครจะรู้”

ขอขอบคุณ คุณวาสนา ไหมพรหม หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม

Leave a comment