วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

เปรูเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าอยู่ห่างจากประเทศไทยมากที่สุดในโลก ด้วยระยะทาง 19,154 กม. และหากมีเครื่องบินโดยสารบินตรงด้วยความเร็วประมาณ 900 กิโลเมตร จะใช้เวลาเดินทางถึง 21 ชั่วโมง
กลางเดือนมีนาคม 2567 เรามาถึงกรุงลิมา เมืองหลวงของเปรู ประมาณเที่ยงคืน ขณะที่เมืองไทยเป็นเวลาเที่ยงวัน จากระยะเวลาที่ห่างกันถึง 12 ชั่วโมง
เปรูเป็นดินแดนอันเก่าแก่ของอาณาจักรอินคา ชนพื้นเมืองโบราณที่ยิ่งใหญ่ของโลกยุคโบราณ
นักมานุษยวิทยาเชื่อกันว่า มนุษย์ที่เป็นสายเลือดของมนุษย์ปัจจุบันคือ Homo sapiens มีจุดเริ่มต้นในทวีปแอฟริกาเมื่อประมาณ สองแสนปีก่อน และต่อมาHomo sapiens ได้เดินทางต่อไปเพื่อที่จะตั้งถิ่นฐานในทวีปต่าง ๆ โดยแพร่กระจายมาถึงยุโรปและเอเชีย ระหว่าง 125,000-60,000 มาตั้งรกรากในเอเชียเป็นเวลานาน ก่อนจะเริ่มผจญภัยข้ามช่องแคบแบริง เข้ามาทวีปอเมริกาเหนือ และเดินทางลงมาทางทวีปอเมริกาใต้เมื่อราว 14,000 ปีก่อน
ล่าสุดนักวิจัยสหรัฐฯ พบหลักฐานใหม่ ชี้ร่องรอยชาวเอเชียรออยู่แถวไซบีเรีย และช่องแคบแบริงถึง 20,000 ปี กว่าจะ
ใช้เส้นทางผ่านไซบีเรียสู่แบริงเจีย (แผ่นดินที่เชื่อมระหว่างไซบีเรียและอลาสกา ปัจจุบันจมอยู่ใต้ทะเลแบริง) และเข้าสู่แผ่นดินอเมริกาเหนือกลายเป็นชนเผ่าพื้นเมืองและบางส่วนก็เดินทางลงใต้ไปสู่ทวีปอเมริกาใต้
แวดวงวิชาการด้านโบราณคดีได้ข้อสรุปว่า ในอดีตมีแหล่งที่มนุษย์อาศัยและเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมทั่วโลกเพียงหกแห่ง คือ
อารยธรรมจีนแถวลุ่มน้ำเหลือง
อารยธรรมอินเดียแถวลุ่มน้ำสินธุ
อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ของชนเผ่าสุเมเรียนแถบลุ่มน้ําไทกริส-ยูเฟรติส ในประเทศอิรัก
อารยธรรมอียิปต์แถบล้ำน้ำไนล์
อารยธรรม เมโสอเมริกา Mesoamerica ของอาณาจักรชาวมายาและชาวแอซเท็ก แถบประเทศเม็กซิโกและอเมริกากลาง
อารยธรรมแถบประเทศเปรู ที่เคยมีผู้คนอาศัยตามเทือกเขาแอนดิสประมาณ 14,000 ปีก่อน มีอารยธรรมแรก ๆมาตั้งมั่นที่นี่เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน และอารยธรรมสุดท้ายของชาวพื้นเมืองแอนดิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ อาณาจักรอินคา ที่เริ่มต้นในค.ศ. 1200 ก่อนจะล่มสลายในช่วงค.ศ. 1532 จากการรุกรานของสเปน
จากกรุงลิมาเมืองหลวงของเปรู ที่ก่อตั้งโดยชาวสเปน เราจับเครื่องบินมุ่งหน้าต่อไปที่เมืองกุสโก เมืองหลวงและศูนย์กลางสำคัญของอาณาจักรอินคาในอดีตที่ตั้งมั่นอยู่ในดินแดนนี้
จักรวรรดิอินคา (1200-1500 ปีหลังคริสตกาล) เป็นอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดกษัตริย์อินคาสามารถขยายอาณาจักรออกไปได้ถึง 2,000,000 ตารางกิโลเมตร (ใหญ่กว่าประเทศไทยสี่เท่า) กินอาณาบริเวณครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ซึ่งในปัจจุบันคือประเทศเปรู ประเทศเอกวาดอร์ ตอนใต้ของประเทศโคลอมเบีย ภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศโบลิเวีย ตอนเหนือของประเทศชิลี และบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอาร์เจนตินา
จักรวรรดิอินคายังเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ “ตาวานตินซูโย” ซึ่งเป็นต้นกำเนิดและเมืองหลวงของเมืองกุสโก และกษัตริย์อินคาขยายอาณาจักรโดยทั้งสันติวิธีและวิธีทางการทหาร มีความแยบยลในการปกครองอาณาจักรอื่นที่ไปยึดครองมา และชาวอินคามีเทคโนโลยีทางด้านวิศวกรรมการก่อสร้างสูงมาก พวกเขาสามารถเข้าถึงเทคนิคการวางโครงสร้างสถานที่ ป้อมปราการขนาดใหญ่ที่มีหินเป็นฐาน และเรียงหินหนักนับร้อยตันเป็นชั้น ๆได้อย่างไม่มีรอยต่อ โดยใช้หินที่หาได้ในภูมิประเทศรอบ ๆ อาณาจักร ตัวอย่างสถานที่เหล่านั้น ได้แก่ มาชูปิคชู หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่สร้างอยู่บนภูเขาสูงกว่า 2,000 เมตร
แต่สิ่งที่ไม่ค่อยมีคนทราบคือ ความก้าวหน้าทางการแพทย์อันเหลือเชื่อ
เรามุ่งหน้าไปพิพิธภัณฑ์ Qorikancha หรือชื่อสเปนว่า Museo De sitio del Qorikancha.ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราเดินลงไปในชั้นใต้ดิน อันเป็นที่จัดแสดงของพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมแห่งนี้ มีวัตถุโบราณในสมัยอาณาจักรอินคา ไม่ว่าจะเป็นถ้วย ชาม เครื่องใช้ประจำวัน ผ้า มัมมี่ เครื่องดนตรี แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดกลับเป็นห้อง ๆ หนึ่ง ที่จัดแสดงกะโหลกของมนุษย์ไว้ในตู้กระจก
กะโหลกตู้แรก เป็นกะโหลกที่แปลกมากไม่เหมือนกะโหลกมนุษย์ทั่วไป แต่กะโหลกนี้ด้านบนจะมีลักษณะนูนสูง คล้ายกับกะโหลกที่คนจำนวนมากเชื่อว่า เป็นกะโหลกของมนุษย์ต่างดาว และบรรดานักยูโฟวิทยามักจะอ้างเสมอว่า เป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เคยมาอาศัยมาโลกของเราเมื่อหลายพันหลายหมื่นปีก่อน
เราเองก็เคยเห็นกะโหลกเรียวสูงแปลก ๆแบบนี้ในสารคดีลึกลับ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นด้วยกับตาว่า กะโหลกที่เห็นคือกะโหลกของชาวอินคาจริง ๆ ที่มีอายุร่วมพันปี ไม่ใช่กะโหลกมนุษย์ต่างดาว แต่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อการปกครองอาณาจักร
ชนชั้นสูงของอินคา จะต้องมีรูปลักษณ์บางอย่างที่ดูแตกต่างจากสามัญชนทั่วไป เพื่อให้ผู้คนระดับล่างเคารพยำเกรงและเทพเจ้าของชาวอินคามักเป็นผู้หญิง เชื่อกันว่าจะมีกะโหลกนูนสูงแตกต่างจากมนุษย์ ดังนั้นเด็กผู้หญิงจากชนชั้นสูงบางคนจึงถูกคัดเลือกและถูกทำให้มีกะโหลกรูปทรงไม่ธรรมดาตั้งแต่เด็ก จึงเป็นความจำเป็นในการปกครองอาณาจักร
ข้อมูลในพิพิธภัณฑ์อธิบายว่า หัวของเด็กชนชั้นสูงเหล่านี้จะถูกรัดด้วยเปลือกไม้หรือไม้สองชิ้นมาขนาบข้างและใช้ผ้าพันรอบศีรษะตั้งแต่เด็กเล็ก เพื่อบีบให้กะโหลกยืดยาวออกไปด้านหลังมีรูปทรงสูงรี โดยมีแม่หรือพี่เลี้ยงจะคอยเฝ้าดูเพื่อยืดกะโหลกไปเรื่อย ๆตามการเจริญเติบโตของเด็ก
หากสังคมจีนโบราณนิยมดัดเท้าของเด็กหญิงให้เรียวเล็ก สังคมชั้นสูงของชาวอินคาก็จะดัดหัวกะโหลกให้เรียวสูงเช่นกัน
การปกครองทุกยุคทุกสมัย ผู้ปกครองมักจะต้องมีรูปลักษณ์บางอย่างที่แตกต่างไม่เหมือนคนทั่วไปเพื่อให้คนคิดว่าเป็นเทพเจ้า ชาวอินคาก็เช่นกัน
ตู้กระจกที่ติดกันยิ่งน่าสนใจ กะโหลกหลายอันที่จัดแสดงมีลักษณะเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่ด้านบนมีรอยแหว่งเป็นรูขนาดใหญ่ คล้ายโดนเจาะ คือกะโหลกนักรบชาวอินคาที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะจากการสู้รบทำสงคราม หมออินคาสมัยนั้นจึงใช้เครื่องมือผ่าตัดซึ่งมีส่วนผสมของทองหรือเงินบริสุทธิ์ ทำการเจาะกะโหลกเอาเศษกระดูกสิ่งสกปรกออก และเพื่อลดความดันจากอาการสมองบวม และเพื่อระบายของเหลวที่คั่งในสมอง
ถ้าพิจารณาจากอาวุธของคนสมัยนั้นที่ใช้ การบาดเจ็บที่ศีรษะถือเป็นเรื่องปกติ ในสมรภูมิรบอาวุธที่ใช้มักเป็นกระบองมีปลายแหลม และเครื่องยิงคล้ายหนังสติ๊กซึ่งทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรงจากการถูกตีถูกฟาด
มีคำถามว่า นักรบเหล่านี้ทนความเจ็บจากการผ่าตัดได้อย่างไร คำตอบคือ แม้ชาวอินไม่รู้จักการวางยาสลบหรือใช้ยาปฏิชีวนะตามรูปแบบการแพทย์สมัยใหม่ แต่ผู้รักษาใช้ประโยชน์จากพืช เช่น ใบโคคา ใบยาสูบ และเบียร์ข้าวโพด เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดแก่ผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัด รวมทั้งใช้พืชสมุนไพรบางชนิดเพื่อเป็นยาฆ่าเชื้อ
นักวิชาการพบหลักฐานว่าการผ่าตัดหัวกะโหลกเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บกระทำกันอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวอินคา ตั้งแต่ ค.ศ.1400 พบว่าอัตราผู้รอดชีวิตจากการผ่าตัดหัวกะโหลกสูงถึง 70 % และมีระดับการติดเชื้อน้อยมาก
ชาวอินคาสามารถผ่าตัดเปิดกะโหลก อันเป็นการผ่าตัดชั้นสูงได้เมื่อห้าร้อยปีก่อน ก่อนชาวยุโรปหลายร้อยปี แต่น่าเสียดายที่การแพทย์สมัยก่อนหายสาบสูญไปพร้อมกับการล่มสลายของจักรวรรดิอินคา และชาวอินคาไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเอง จึงไม่มีอะไรเก็บบันทึกไว้เป็นหลักฐานถึงคนรุ่นหลังได้
