วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

เป็นเวลานานแล้วที่อาหารจากเกษตรอินทรีย์เป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าว ถั่ว ผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ
สินค้าเกษตรอินทรย์ก็เป็นที่นิยมของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่อีกด้านหนึ่ง คนทำเกษตรอินทรีย์ก็มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า คนทำเกษตรอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็นพวกโลกสวย ทำไม่ได้จริงหรอก ทำแล้วมีแต่ขาดทุน
ในปี 2564 ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรรายงานตัวเลขของพื้นที่การปลูกเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทย ว่ามีอยู่ประมาณ 1.5 ล้านไร่ ส่วนใหญ่ปลูกข้าวเป็นหลัก มีเกษตรกรอินทรีย์จำนวน 95,752 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง เมื่อเทียบกับเกษตรกร 8.7 ล้านคนทำการเกษตรทั้งหมดของประเทศ 143 ล้านไร่ ในจำนวนนี้มีอาชีพชาวนาประมาณ 5.2ล้านคน ปลูกข้าว 72 ล้านไร่
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่หันมาสนใจปลูกข้าวและถั่วเหลืองอินทรีย์เป็นเวลาสี่ปี และจากประสบการณ์ของตัวเองที่มีโอกาสเดินทางไปดูการปลูกเกษตรอินทรีย์หลายแห่งในประเทศ มีข้อสังเกตดังนี้คือ
- การเปลี่ยนแปลงพื้นที่เพาะปลูกจากที่นาที่เคยใช้สารเคมีมาเป็นที่นาอินทรีย์ ต้องใช้ความอดทนในระยะแรกสูงมาก กล่าวคือสามสี่ปีแรก ต้องมีการฟื้นฟูดินให้มีแร่ธาตุตามธรรมชาติ โดยการพักดิน ปลูกพืชตระกูลถั่วเพิ่มแร่ธาตุ แต่ในช่วงเวลานั้นจะต้องไม่ปลูกอะไรเลย ทำให้ขาดรายได้ในช่วงแรกทันที หลังจากนั้น หากทำเกษตรอินทรีย์จริงจัง จะลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง ต้องเอาใจใส่ในแปลงมากกว่าปกติ อาจมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นด้านค่าแรงงาน แต่ราคาขายผลิตผลจะสูงกว่าเกษตรเคมีประมาณ 30-40 %
- มักมีความเชื่อว่า การทำข้าวอินทรีย์จะได้ผลิตผลต่อไร่น้อยกว่าข้าวที่ใช้สารเคมี แต่ผลิตผลต่อไร่ของผู้เขียน สามารถผลิตได้ข้าวประมาณ 525 กิโลกรัมต่อไร่ มากกว่าค่าเฉลี่ยการทำนาข้าวใช้สารเคมีทั่วประเทศได้ข้าว 478 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งผลผลิตต่อไร่ของการทำนาอินทรีย์ขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ หมั่นดูแลต้นข้าว การให้น้ำ การบำรุงดินเป็นสำคัญก่อนจะทำนา
- เกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์กับเกษตรกรที่ใช้สารเคมีจะมีนิสัยแตกต่างกัน คือ เกษตรกรอินทรีย์ส่วนใหญ่จะมีนิสัยช่างสังเกต ชอบทดลองสิ่งใหม่ ๆ ลองผิดลองถูกในแปลงที่นา อาทิการทดลองใช้พืชสมุนไพรในการป้องกันศัตรูพืช ก็จะแตกต่างออกไปตามพื้นที่ ขณะที่เกษตรกรที่ใช้สารเคมีมักจะมีพฤติกรรมทำในสิ่งที่เคยทำกันมาตลอด ไม่ค่อยอยากเปลี่ยนแปลงหรือทดลองอะไรใหม่ ๆ เลยมักเชื่อว่าการใช้สารเคมีดีกว่าเกษตรอินทรีย์
- เกษตรกรหลายพื้นที่ที่หันมาสนใจทำเกษตรอินทรีย์อย่างจริงจัง จุดเริ่มต้นมาจากปัญหาสุขภาพ ครั้งหนึ่งผู้เขียนเดินทางมา ชุมชนตำบลสงเปือย แหล่งผลิตข้าวอินทรีย์รายใหญ่ของจังหวัดยโสธร ก่อนหน้านี้ชาวบ้านที่นี่ปลูกข้าวหอมมะลิด้วยสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทุกชนิดมานานแล้วด้วยความเคยชิน ไม่ว่ายาฆ่าหญ้า ยาปราบศัตรูพืชทุกชนิด เพราะออกฤทธิ์เร็วและราคาไม่แพง จนกระทั่งเมื่อร่วมสิบปีก่อน ชาวบ้านหลายคนในหมู่บ้านเริ่มไม่สบาย เข้าโรงพยาบาลกันมากขึ้น สาเหตุมาจากปัญหาการสูดดมและสัมผัสสารเคมีเป็นเวลานาน จนเกิดการสะสมและมีผลต่อสุขภาพร่างกาย ด้วยความกลัวตาย ชาวนาหลายคนก็เริ่มสนใจไปเรียนรู้วิธีการทำเกษตรอินทรีย์แบบไม่ใช้สารเคมี พวกเขาลองผิดลองถูก ไปดูงานตามที่ต่าง ๆ สั่งสมประสบการณ์ในการทำนาอินทรีย์ทีละเล็กทีละน้อย แต่ขณะเดียวกันชาวนาผู้เริ่มปลูกข้าวอินทรีย์ ต่างยอมรับความจริงข้อแรกว่า ระยะแรกผลิตผลข้าวต่อไร่หลังฤดูเก็บเกี่ยวต้องมีปริมาณลดลงกว่าเดิม เมื่อเทียบกับการใช้สารเคมี
“นาอินทรีย์ได้ข้าวไร่ละ 400 กิโลกรัม แต่นาสารเคมีได้ข้าวไร่ละ 500 กิโลกรัม” ชาวนาคนหนึ่งเล่าให้ฟัง
แต่สองสามปีต่อมา เมื่อดินฟื้นตัวเต็มที่จากการไม่มีการเติมปุ๋ยและสารเคมี อันทำให้ดินแข็ง ผลิดผลข้าวต่อไร่จะดีขึ้นตามลำดับ และ การปลูกข้าวอินทรีย์มีต้นทุนถูกว่า เพราะไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง แม้รายได้จะไม่สูง แต่รายจ่ายลดลงมากกว่า แต่สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่รายได้ แต่พวกเขาได้กลับคืนมา คือสุขภาพดีขึ้น ไม่ต้องกังวลหรือหวั่นใจกับการสูดดมหรือสัมผัสสารเคมีจะทำร้ายร่างกายอีกต่อไป
ทุกวันนี้ชาวนาสงเปือยหันมาทำนาเกษตรอินทรีย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นจำนวนร้อยละ 50 ของชาวนาทั้งตำบล จากที่มีคนเริ่มต้นทำเกษตรอินทรีย์ตอนแรกไม่ถึงร้อยละ 5
พวกเขาสังเกตว่า หลังจากเลิกใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช สิ่งที่ตามมาคือผึ้ง แมลงชนิดสำคัญที่สุดในการผสมเกสรดอกไม้ทำให้พืชนานาชนิดเกิดการแพร่ขยายพันธุ์ พืชที่เคยหายไปนานจากสารเคมีในท้องไร่ท้องนา ได้กลับมามากขึ้น รวมถึงต่อ แตนในธรรมชาติ และแมลงในพื้นดินหลายชนิดที่เป็นอาหารโปรตีนของพวกเขา รวมถึงสัตว์ป่าหลายชนิดในป่าชุมชน
ไม่นานนัก นกปากห่างหลายร้อยตัวปรากฏตัวขึ้น ลงมากินหอยเชอรี่ในนาข้าว โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าหอย
เกษตรอินทรีย์จึงเปรียบเสมือนสปริงบอร์ด ทำให้ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศกำลังกลับคืนสู่ท้องไร่ท้องนาอีกครั้ง
- ชาวนาในชุมชนใดที่มีการรวมตัวกันปลูกข้าวอินทรีย์ และสามารถจัดตั้งเป็นสหกรณ์ เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แหล่งกระจายปัจจัยการผลิต แหล่งรวม และรับซื้อผลผลิต จะสามารถมีพลังต่อรองด้านการตลาดได้ดีกว่า และการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์เป็นเรื่องที่ทำคนเดียวได้ยาก เนื่องด้วยระบบการรับรองและการตลาด ซึ่งไม่เอื้อต่อชาวนารายย่อยที่มีพื้นที่ทำกินขนาดเล็ก อาทิ เกษตรกรตำบลผักไหม จังหวัดศรีสะเกษ สามารถ คว้ารางวัลต้นแบบปลูกข้าวแปลงใหญ่ระดับประเทศ มีสมาชิกจำนวน 248 ราย พื้นที่ปลูกข้าว จำนวน 3,780 ไร่ เกิดกลุ่มวิสาหกิจ ข้าวอินทรีย์ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ Organic Thailand ,USDA,EU ผลิตผลข้าวอินทรีย์ส่วนใหญ่ส่งไปขายต่างประเทศที่ให้ราคาดีกว่า จนสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากกว่าที่เคยปลูกข้าวใช้สารเคมี
- คนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาในต่างจังหวัดจำนวนมาก แทนที่จะยังทำงานในเมืองใหญ่เหมือนเดิม เริ่มหันกลับมาทำเกษตรอินทรีย์บนที่เพาะปลูกของพ่อแม่ และใช้การตลาดออนไลน์ หรือ E-Commerce เป็นเครื่องมือสำคัญในการขายสินค้าของตัวเอง ตัดปัญหาพ่อค้าคนกลาง และการมีหน้าร้านของตัวเอง พวกเขาพบว่า รายได้อาจน้อยกว่างานประจำที่เคยทำในเมืองใหญ่ แต่รายจ่ายลดลงมหาศาล
- ผู้เขียนเสนอว่า หากรัฐบาลยังคิดว่า แนวโน้มของผู้บริโภคทั่วโลก น่าจะหันมาสนใจอาหารสุขภาพและสินค้าเกษตรอินทรีย์ และสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นสินค้าแบบพรีเมียม รัฐบาลควรจะมีกองทุนสนับสนุนให้เกษตรกรสามารถอยู่รอดได้ในช่วงสามปีแรกที่ไม่มีรายได้ จากการใช้เวลาเปลี่ยนผ่านจากการฟื้นฟูผืนดินที่เคยมีสารเคมีตกค้าง ให้กลับมาให้มีแร่ธาตุตามธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์
- รัฐบาลยังเก็บภาษีจากบริษัท เหล้า บุหรี่ มาตั้งเป็นกองทุนสนับสนุนสุขภาพของประชาชน ถึงเวลาที่รัฐควรจะเก็บภาษีบริษัทขายยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช ปุ๋ยเคมี ที่มีส่วนในการทำลายคุณภาพดิน นำมาตั้งเป็นกองทุนฟื้นฟูดินให้อุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ