หลุมหลบภัยที่ไม่เคยถูกใช้งาน

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

แอลเบเนีย เป็นประเทศเล็ก ๆแห่งหนึ่งติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คนไทยไม่ค่อยรู้จัก

เมื่อปีก่อนที่ผู้เขียนไปเยือน มีนักท่องเที่ยวจากประเทศไทยไม่กี่สิบคน ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศที่มีอารยธรรมเก่าแก่ ภูมิประเทศยิ่งใหญ่ตระการตา ธรรมชาติงดงามยิ่ง อาหารอร่อย ไวน์รสชาติดี แต่ค่าครองชีพแทบจะไม่ต่างจากกรุงเทพมหานคร

แอลเบเนียเคยได้ชื่อว่าเป็นประเทศยากจนที่สุดในยุโรป เพราะปิดประเทศจากการปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์มายาวนาน เพิ่งเปิดประเทศ มีการปฏิรูปการปกครองเป็นเสรีนิยมมาสามสิบกว่าปีเอง

ที่กรุงเทเรนา เมืองหลวงของแอลเบเนีย ผู้เขียนแวะไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศนี้ และมีอยู่เกลื่อนทั่วประเทศ คือบังเกอร์หรือหลุมหลบภัย

เชื่อหรือไม่ว่า แอลเบเนียแม้จะเป็นประเทศขนาดเล็กมาก มีพื้นที่ไม่ถึงสามหมื่นตารางกิโลเมตร  แต่มีบังเกอร์คอนกรีตมากที่สุดในโลกถึง 173,371 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 ถึง 1980 ในสมัยของประธานาธิบดี Enver Hoxha อดีตผู้นำประเทศเผด็จการและปกครองประเทศมายาวนาน (ค.ศ.1944 -1985)  โดยเขาตั้งชื่อโปรเจกต์นี้ว่า ‘bunkerizimi’ (bunkerisation)

ต้นเหตุของการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างจำนวนมากนี้มาจากความหวาดกลัว

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แอลเบเนียเป็นประเทศเอกราช ปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ และถือเป็นประเทศหลังม่านเหล็กคือ อยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตรัสเซีย  แต่ต่อมาทั้งสองประเทศเกิดความขัดแย้งกัน และHoxha กลัวว่ากองทัพโซเวียตจะบุกยึดครอง รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างกรีซและยูโกสลาเวียจะบุกข้ามพรมแดน มีการโจมตีทางอากาศ เลยระดมใช้ทรัพยากรและงบประมาณจำนวนมากสร้างหลุมหลบภัยทั่วประเทศ

 หลุมหลบภัยมีทุกแห่ง กลางเมือง ในหมู่บ้าน ทุ่งหญ้า ชายฝั่ง ฯลฯ  หลุมหลบภัยบางแห่งมีขนาดใหญ่มาก สามารถป้องกันระเบิดนิวเคลียร์ได้ด้วย

ในยุคสมัยของจอมเผด็จการคนนี้ ได้อบรมให้เด็กตั้งแต่อายุสามขวบ ว่าพวกเขาต้อง “เฝ้าระวังศัตรูทั้งภายในและภายนอก”  ชาวแอลเบเนียทั้งหญิงชายถูกเกณฑ์ให้เป็นทหารแปดแสนคน จากพลเมืองไม่ถึงสามล้านคน ฝึกฝนตั้งแต่อายุ 12 ขวบให้ไปประจำการในบังเกอร์ใกล้ที่สุดเพื่อขับไล่ผู้บุกรุกจากแดนไกล ที่ไม่มีใครรู้ว่ามาจริงหรือไม่ นอกจากคำพูดปลุกระดมทุกวันของหน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาล

เบื้องหลังความหวาดกลัวสงครามของ Hoxha ก็คือการทำให้ผู้คนในประเทศหันมาสนใจสงครามนอกประเทศ เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาความล้มเหลวในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล จนกลายเป็นประเทศยากจนที่สุดในยุโรป และในยุคนั้น แอลเบเนียก็ได้ฉายาว่า เป็นประเทศเกาหลีเหนือแห่งยุโรป

เกาหลีเหนือและแอลเบเนีย มีลักษณะคล้ายกัน คือเป็นประเทศที่ปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ มีผู้นำที่อยู่ในตำแหน่งยาวนาน มีแสนยานุภาพทางทหาร แต่ประชาชนในประเทศยากจนมาก

 แต่สุดท้ายบังเกอร์เหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อันใด เพราะไม่มีสงครามใดเกิดขึ้น แต่ทำให้ประเทศยากจนลงเรื่อย ๆ จากงบประมาณหลายพันล้านดอลล่าร์ถูกทุ่มลงไปแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ทรัพยากรของแอลเบเนียสูญเปล่า บังเกอร์ส่วนใหญ่ถูกปล่อยทิ้งร้าง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจผู้ปกครองประเทศ ออกมาประท้วงหลายครั้ง นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในเวลาต่อมา

ใจกลางเมืองหลวง มีสิ่งก่อสร้างภายนอกดูคล้ายโดมทรงกลมขนาดไม่ใหญ่มาก คือบังเกอร์ที่เรียกว่า Bunk Art 2

บังเกอร์แห่งนี้ไม่ได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง แต่กลายเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่ง

เมื่อเราก้าวย่างลงไปใน Bunk Art 2 ต้องปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดและทางเดินแคบ ๆ สร้างบรรยากาศอึดอัด  สีเทา ๆ สะท้อนประวัติศาสตร์ด้านมืดของประชาชนในยุคเผด็จการครองอำนาจมายาวนาน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดแสดงชีวิตหดหู่โหดร้ายของชาวแอลเบเนียในยุคมืด ผ่านภาพ เครื่องมือ เครื่องใช้และโดยการออกแบบกราฟิกที่ชวนติดตาม  

ตามทางเดิน เราผ่านไปห้องนิทรรศการห้องหนึ่ง เป็นแผ่นป้ายชื่อคนตายจำนวนมากห้อยลงมาจากเพดาน มีคำอธิบายว่า

“ในช่วงค.ศ. 1944-1991 มีประชาชนมากกว่า 6,000 คนถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ด้วยการยิงเป้าหรือแขวนคอ จากข้อหามีทัศนคติทางการเมืองแตกต่างจากรัฐบาลคอมมิวนิสต์  โดยส่วนใหญ่ศพของผู้เสียชีวิตไม่เคยถูกนำกลับไปให้ครอบครัวเลย ขณะที่ชาวแอลเบเนีย 35,000 คน ถูกจับเข้าเรือนจำใช้แรงงาน”

ด้านหน้าของห้องมีตัวหนังสือขนาดใหญ่ติดไว้ว่า

“ความชั่วร้ายจะหยั่งรากลึก เมื่อมนุษย์เริ่มต้นคิดว่า  เขาดีกว่าคนอื่น”

เราเดินผ่านห้องสอบสวนของ “Sigurimi” ตำรวจการเมืองที่เป็นอาวุธลับของ Hoxha เพื่อใช้ประหัตประหารอาวุธศัตรูทางการเมืองของเขา   ตำรวจการเมืองสามารถจับเอาเชลยมาทรมาน โดยตั้งข้อหา ก่ออาชญากรรมต่อรัฐ ตำรวจการเมืองมีสิทธิ์จะจับใครก็ได้มาคุมขัง และค่อยหาหลักฐานยัดข้อหาทีหลัง ซึ่งหลักฐานเหล่านี้มักจะถูกจัดฉาก สร้างขึ้นมา

ห้องทรมานนักโทษจะแสดงวิธีการทรมานนักโทษต่าง ๆ ด้วยน้ำมือของบรรดาตำรวจลับอย่างเหี้ยมโหด อาทิ การแล่เนื้อแล้วทาเกลือ  จี้ไฟฟ้าที่หูและร่างกาย  อดอาหารจนตาย  ใส่ดินระเบิดในร่างกาย  คีมบีบหน้าอก  แก้ผ้าปล่อยให้หนาวจัดจนตายอย่างช้า ๆ ฯลฯ

มีคำคมติดฝาผนังอีกแห่งว่า “ถ้าคุณจำอดีตไม่ได้ คุณจะถูกประณามให้ทำซ้ำ

เราเดินออกจาก Bunk Art 2   ที่นำเสนอด้านมืดของระบอบคอมมิวนิสต์และการปราบปรามอันโหดร้ายกับคนที่เห็นต่างทางการเมือง บังเกอร์เหล่านี้ชวนสร้างบรรยากาศได้สมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจริง ๆ

วันต่อมาเราออกเดินทางไปนอกเมืองหลวง เดินผ่านอุโมงค์ที่ขุดข้ามภูเขา เข้าไปในสถานที่ตั้ง Bunk’Art 1. ที่เป็นบังเกอร์ขนาดใหญ่ที่สุด สร้างอยู่ใต้ภูเขาทั้งลูก เป็นทางเดินแคบ ๆ มีห้องต่างๆ 106 ห้อง กำแพงคอนกรีตมีความหนาประมาณหนึ่งเมตร และขุดลึกลงไปอีกสี่ชั้น บังเกอร์ขนาดใหญ่ที่บรรจุผู้คนได้นับพันคน น่าจะขุดลึกลงไปไม่ต่ำกว่าร้อยเมตร

 ภายในBUNK’ART 1 จัดแสดงห้องต่าง ๆ สำหรับสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หากจะต้องมาใช้ชีวิตในหลุมหลบภัยจริง ๆ บังเกอร์แห่งนี้สามารถป้องกันระเบิดนิวเคลียร์ได้ มีระบบกรองอากาศอย่างดี มีระบบไฟฟ้าสำรอง โรงสูบน้ำ ห้องส่วนตัวของผู้นำประเทศ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ ห้องสำหรับคนสำคัญของพรรคฯ ห้องอาหาร ห้องเสบียง ห้องประชุมขนาดใหญ่จุคนได้นับร้อย  ห้องบัญชาการสงคราม ร้านค้าขายของชำ สิ่งจำเป็นในยามสงคราม และห้องพักของทหารระดับยศต่าง ๆ  แต่ละห้องจะมีโปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อ ปลุกระดมให้รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ

บังเกอร์ขุดด้วยน้ำมือของมนุษย์เป็นหลัก ชาวแอลเบเนียจำนวนมากเสียชีวิตในระหว่างการก่อสร้างบังเกอร์ยักษ์แห่งนี้

แต่ห้องเหล่านี้ก็ไม่เคยถูกใช้เลย เช่นเดียวกับบังเกอร์นับแสนแห่งทั่วประเทศ ที่ถูกทิ้งร้างอย่างไร้ค่า แต่เตือนสติให้ประชาชนได้รู้ถึงความโหดร้ายของบรรดาเผด็จการ นอกจากจะพรากชีวิตผู้คนนับหมื่นแล้ว ยังทำให้ประชาชนยากจน ประเทศล่มจมเสียหายยับเยิน และเด็กรุ่นใหม่จำนวนมากพากันเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อหางานทำและชีวิตที่ดีกว่า

ไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้ ประชากรแอลเบเนียมีเพียง 2.8 ล้านคน ขณะที่สมองไหลไปอยู่นอกประเทศอย่างต่อเนื่องถึง 8 ล้านคน

 เป็นบทเรียนที่ไม่เคยล้าสมัยสำหรับประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงมาตลอดทุกยุคทุกสมัย

Leave a comment