CSR กับบ้านพักครูที่ถูกทิ้งร้าง

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

ทุกวันนี้บริษัทหรือองค์กรขนาดใหญ่มักมีการทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือที่รู้จักกันในนามของ CSR (Corporate Social Responsibility) คือ กิจกรรมที่บริษัทหรือองค์กรจัดขึ้นภายใต้แนวคิดในการรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

การทำ CSR ส่วนใหญ่ที่เรามักได้ยินคือ การปลูกปา แจกอาหาร แจกสิ่งของให้กับผู้ยากไร้ตามชุมชน หรือบริจาคอุปกรณ์การเรียน การสอน เครื่องกีฬาให้กับโรงเรียน ฯลฯ

แต่ในจังหวัดสมุทรปราการ มีการทำกิจกรรม CSR แห่งหนึ่ง ที่มีแนวคิดแหวกแนว

โรงเรียนเฉลิมมณีฉายวิทยาคาร อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ  เป็นโรงเรียนระดับชั้นอนุบาล – ประถมศึกษา มีนักเรียนทั้งหมด 67 คน ตั้งอยู่ท่ามกลางนากุ้งและเขตโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง เป็นพื้นที่สำหรับบรรดาโรงงานรอบ ๆ มาทำกิจกรรม CSR  หลายครั้ง อาทิ ทาสีรั้วโรงเรียน บริจาคศาลา บริจาคห้องน้ำ ห้องส้วมสำเร็จรูป ฯลฯ

ต่อมาบริษัทยูนิค อุตสาหกรรมพลาสติก ที่เคยมาทำกิจกรรม CSR กับโรงเรียนแห่งนี้หลายครั้ง มีแนวคิดอยากจะทำโครงการที่โรงเรียนได้ประโยชน์แบบยั่งยืน โดยเล็งเห็นว่า ที่ผ่านมาเวลามีบริษัทมาทำกิจกรรม CSR ให้โรงเรียน งบประมาณทั้งหมดจะถูกทุ่มไปที่เด็กนักเรียน ไม่ค่อยได้นึกถึงครู เพราะการบริจาคหรือทำกิจกรรมกับเด็กได้ภาพลักษณ์ที่ดีกว่า  บริษัทจึงอยากจะลงงบประมาณให้บ้านพักครู เพราะครูมักถูกลืมตลอด และไม่ค่อยมีใครสนใจ โดยทางบริษัทมีแนวคิดว่าถ้าดูแลครูให้ดีแล้ว ครูจะได้มีกำลังใจไปดูแลเด็กให้มีคุณภาพต่อไป

“ ทางบริษัทจึงมาปรึกษากับพวกผมที่เป็นบริษัทสถาปนิก ว่าอยากจะเอางบประมาณในการทำ CSR ของหลายปีมารวมกันเป็นก้อน เพื่อทำเป็นโครงการปรับปรุงอาคารมากกว่า  พวกผมมาสำรวจดู เห็นบ้านพักครูอยู่ในสภาพทิ้งร้าง ชำรุดทรุดโทรม  บริเวณรอบ ๆ ก็รกรุงรัง และมีบ่อคอนกรีตปลูกผักจากการทำCSRของบางบริษัท  แต่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ จนทำให้โรงเรียนเสียพื้นที่ไม่ก่อประโยชน์มาก  จึงเสนอว่า น่าจะใช้เงินมาปรับปรุงบ้านพักครู”  

ศุภวุฒิ ธีระวัฒนชัย หรือ ลีโอ สถาปนิกหนุ่ม แห่งสตูดิโอ Parin+Supawut ซึ่งมีหุ้นส่วนสองคนคือ ตัวเขาและปรินทร์ นวชาตโฆษิต (ปิง) ที่เพิ่งจบจากการศึกษาคณะสถาปัตยกรรมจาก University College of London (UCL)เล่าที่มาของโครงการให้ฟัง

อาคารเรียนและบ้านพักครูของโรงเรียนเฉลิมมณีฉาย ถูกสร้างขึ้นพร้อมกันจากแบบสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. 2513 โดยเป็นอาคารเรียนแบบที่ 017 และบ้านพักครูแบบกรมสามัญตามพิมพ์เขียวที่ใช้กันในอีกหลายโรงเรียนทั่วประเทศไทย

แต่เมื่อเวลาผ่านไปห้าสิบกว่าปี บ้านพักครูชำรุดทรุดโทรม บางปีอาจได้งบประมาณมาซ่อมแซม บางปีไม่ได้ เมื่อเกิดการชำรุดมาก ๆ จนไม่สามารถพักอาศัยได้ ครูก็ต้องย้ายออกไปเสียเงินพักข้างนอก เพราะไม่มีงบประมาณซ่อมแซม บ้านพักครูก็ถูกทิ้งร้าง ไม่มีใครสนใจ  เป็นปัญหาแบบนี้เหมือนกันหลายแห่งทั่วประเทศ

“สิ่งแรกที่เราทำคือเริ่มจากการค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของอาคารเรียน พบว่าบ้านพักครูหลังนี้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกับแบบสำเร็จจากกรมสามัญศึกษา  ทำให้เรารู้สึกว่าโจทย์ของงานออกแบบในครั้งนี้ใหญ่กว่าการซ่อมบ้าน 1 หลัง เราก็มาตั้งคำถามกันว่าจะเป็นไปได้ไหมที่กระบวนการออกแบบจะทำให้เราเจอวิธีการทำงานที่เป็นแนวทางหรือเป็นโมเดลซ่อมบ้านพักครูที่มีรูปแบบขนาดสัดส่วนเหมือนกันหลายๆแห่งทั่วประเทศไทย “

ลีโอยอมรับว่า ความตั้งใจของพวกเขาคือ ออกแบบการซ่อมบ้านพักครูแห่งนี้ให้เป็นต้นแบบของการซ่อมแซมบ้านพักครูทั่วประเทศ

โครงการนี้ มีงบประมาณทั้งสิ้นเพียง 600,000 บาท และการก่อสร้างใด ๆ ก็ตาม งบประมาณเป็นตัวกำหนดเงื่อนไขหลายอย่าง อาทิ ทุบทิ้งสร้างใหม่ หรือซ่อมแซม

“พอลงไปดูสภาพบ้านจริงๆ โครงสร้างเดิมของบ้านหลังนี้ยังอยู่ในขอบเขตที่ซ่อมแซมได้ และประกอบกับเราเห็นความสำคัญของพื้นที่ภายในบ้านมากๆ ก็เลยเลือกใช้แนวทางการออกแบบที่ใช้วิธีการคิดจากพื้นที่ด้านในออกมาสู่พื้นที่ด้านนอก  แทนที่จะคิดออกแบบจากอาคารด้านนอกเข้าไปพื้นที่ด้านใน จึงเรียกโครงการนี้ว่า  Patch House หรือ บ้านปะ

เราใช้แนวคิดการออกแบบ space จากด้านในแล้วก็ปล่อยให้เกิดช่องเปิดต่างๆจากการปรับขนาดหน้าตาหรือว่าประตูหรือว่ามีการเจาะบางส่วนของบ้านออก  เราปล่อยให้ตัวบ้านภายนอกถูกออกแบบจากพื้นที่ใช้งานและฟังก์ชันข้างใน”

แนวคิดการออกแบบจึงถูกพัฒนาโดยมุ่งเป้ามายไปที่การออกแบบวิธีการซ่อมแซมจากโครงสร้างเก่าของบ้าน แทนการออกแบบอาคารใหม่ขึ้นทั้งหมด โดยสร้างขึ้นด้วยแบบก่อสร้าง 2 ชุด

แบบชุดแรกกำหนดวิธีการซ่อมแซม เสริม และลดทอนโครงสร้างรวมถึงขนาดช่องเปิดทั้งหมดของบ้าน โดยอ้างอิงระยะที่แบ่งได้เป็นสัดส่วนง่ายๆเมื่อเทียบกับโครงสร้างเก่า ในขณะที่แบบชุดที่สองบอกสัดส่วนและวิธีการแบ่งแผ่นไม้อัดโดยคำนวนจากขนาดมาตรฐานพร้อมทั้งกำหนดจุดที่ควรเริ่มติดแผ่นไม้อัดก่อนบนผนังแต่ละแผงเพื่อให้เหลือเศษวัสดุน้อยที่สุด

“เราคิดถึงเรื่องของวิธีการแบ่งไม้ ตัดยังไงช่างจะเหลือเศษไม้น้อยที่สุด และปกติการที่กรุบ้านด้วยไม้อัดจะต้องใช้ไม้อัดคุณภาพสูง แต่พอไม่ได้มีงบประมาณมาก เราใช้วิธีการย้อมไม้แทนโดยเอาสีหมึกมาผสมกันแล้วก็ให้ช่างค่อยๆเอาสีย้อมลงไปกับเนื้อไม้  ช่วยแบ่งพื้นที่ภายในให้มันมีความเป็นสัดส่วน แล้วทำให้ช่างสามารถใช้ผนังไม้ที่เป็นวัสดุเกรดต่ำลงมาหรือบางทีอาจจะใช้ของเก่าได้”

ผนังภายในถูกปิดด้วยไม้อัดเกรด B-C ซึ่งโดยทั่วไปมีราคาถูกและไม่ได้มีผิวไม้ที่สวยเสมอกันมาผ่านกระบวนการย้อมไม้โดยทดลองส่วนผสมจนเกิดเป็นโทนสีเฉพาะที่ช่วยพรางตำหนิของวัสดุ และช่วยแบ่งพื้นที่ภายในให้ดูเป็นสัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น

“ ถ้าเราไม่ทุบบ้านแต่ว่าเราหาวิธีการทำงานกับโครงสร้างเดิมของบ้านแล้วก็คิดการออกแบบควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจอาคารเดิมได้  สิ่งที่เราออกแบบมาจะเป็นวิธีการที่สามารถเอาไปใช้งานได้จริง “

จากกระบวนการออกแบบและแนวคิดการบริหารจัดการงบประมาณที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่อยู่อาศัยภายในเป็นหลัก ภายนอกตัวบ้านจึงเป็นส่วนเดียวที่ทีมออกแบบเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นต้องออกแบบ โดยได้เก็บรูปแบบผนังไม้เชอร่าชนิดและสีเดียวกับของเดิมเอาไว้ สลับด้วยหน้าต่างและช่องแสงหลากหลายขนาดที่ถูกเจาะจากด้านใน

งานออกแบบปรับปรุงบ้านพักครู สะท้อนถึงแนวคิดการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับการผสมผสานกระบวนการออกแบบเข้ากับการซ่อมแซม และการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่มากกว่าการสร้างใหม่

ผ่านไปหกเดือน บ้านพักครูแห่งนี้ก็กลับมาชีวิตอีกครั้งหนึ่ง โดยมีครูสามคนเข้ามาพักอาศัยเมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค.ปีพ.ศ. 2566

“การที่มีบ้านพัก มันช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนสำหรับคุณครูหนึ่งคนได้หลายพันบาท ทั้งค่าที่พักและค่าเดินทางทำให้คุณครูมีที่อยู่อาศัยที่ที่ปลอดภัยขึ้นนะครับ” ลีโอเล่าถึงความรู้สึกต่อโครงการบ้านปะของเขา

ขณะที่เจ้าของเงินก็เห็นชัดว่า งบประมาณ CSR  ได้ใช้ประโยชน์คุ้มค่าส่งตรงไปถึงครูและนักเรียนอย่างยั่งยืน

สตูดิโอ Parin+Supawut ยังได้ทำการออกแบบห้องเรียนอนุบาลและสนามเด็กเล่นมุมตึกของโรงเรียนแห่งนี้ด้วย ภายใต้แนวคิดหลักการออกแบบที่เรียกว่า Research base

“ คือการทำความเข้าใจบริบทของงานลูกค้าที่ไม่จำกัดอยู่แค่สถาปัตยกรรม คือเวลาคิดงาน เราคิดรวมไปหมดทั้งด้านของการเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม ประวัติศาสตร์ เราใช้มันเป็นวัตถุดิบในการพัฒนาทั้งกระบวนการทำงานออกแบบ แล้วค่อยพัฒนาเป็นการออกแบบชิ้นงาน  มันทำให้ process พวกนี้พาไปได้ทุกรูปแบบของงาน  งานที่สตูดิโอก็เลยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นสถาปัตยกรรมภายนอก ภายใน เป็นบ้านแค่นั้น เป็นอะไรแต่ว่าพอเราพา process ไปในทุกที่ มันอาจจะกลายเป็นแค่การออกแบบมุมหนึ่งของบ้าน เป็นหน้าต่าง เก้าอี้ตัวนึงหรือเป็นที่จับประตูก็ได้ครับ”

ไม่แปลกใจที่เมื่อเข้าไปในสตูดิโอแห่งนี้แล้ว เราจะพบเอกสารงาน research ด้านต่าง ๆ  มากพอ ๆกับแบบแปลนสถาป้ตยกรรมบนโต๊ะทำงาน

Leave a comment