ป่าคลองมะเดื่อ กับความล้าหลังในการจัดการน้ำของประเทศไทย

 วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์  

ในปัจจุบันนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำทั่วโลกพัฒนาเทคโนโลยีและองค์ความรู้ในการเก็บรักษาน้ำหลากหลายวิธีการ แม้กระทั่งในพื้นที่ทะเลทราย ก็ยังสามารถเก็บรักษาน้ำได้โดยแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับไทย หลายครั้งที่เมื่อเกิดความจำเป็นในการหาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ มักจะยอมแลกกับการสร้างเขื่อน สร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และยอมสูญเสียพื้นที่ป่าทางธรรมชาติไป

กรมชลประทานที่ก่อตั้งมานานถึง 120 ปี ดูจะมีวิธีการและเทคโนโลยีสำหรับการเก็บกักน้ำขนาดใหญ่แบบซ้ำซากไม่ต่างจากวิธีที่เคยทำมาหลายสิบปี คือ ‘การใช้พื้นที่ป่าธรรมชาติเป็นที่กักเก็บน้ำ’ เพราะตราบใดที่คิดว่า พื้นที่ป่าเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดในการก่อสร้าง ภาครัฐไม่ต้องเสียเงินค่าเวนคืนที่ดินหากมีเอกสารสิทธิ์ และป่าไม้ก็อยู่ในการดูแลของหน่วยราชการด้วยกัน เพียงขออนุมัติจากรัฐบาล ถ้าผ่านการเห็นชอบก็สามารถเริ่มดำเนินการได้  

การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อแลกกับการสร้างอ่างเก็บน้ำ จึงดูเหมือนเป็นวิธีที่ง่าย ราคาถูก และสะดวกที่สุด

ทุกวันนี้ในสภาวะที่โลกกำลังเดือดขึ้นทุกวัน ป่าธรรมชาติมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมากและเป็นด่านสำคัญในการลดคาร์บอนไดออกไซด์ เราเริ่มเห็นทุกฝ่ายเร่งรัดให้มีการปลูกป่า ปลูกต้นไม้ แต่กรมชลประทานกลับเดินหน้าทำลายป่า เพื่อสร้างเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ  โดยไม่คิดจะปรับเปลี่ยนวิธีการ ความรู้ใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความเป็นจริงในโลกปัจจุบัน – แม้ว่าป่าเหล่านั้นจะเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติก็ตาม

นักท่องเที่ยวหลายคนต่างรู้จัก ‘ป่าคลองมะเดื่อ’ จังหวัดนครนายก สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่เข้าถึงง่าย ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 120 กิโลเมตร พวกเขาก็เข้าสามารถไปอยู่ใจกลางป่าผืนใหญ่ และกางเต็นท์ใต้ร่มไม้เก่าแก่ ริมลำธารน้ำใสได้

‘ป่าคลองมะเดื่อ’ เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ อุทยานขนาดใหญ่ที่ทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ  พื้นที่ป่าบริเวณนี้มีระบบนิเวศป่าที่อุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยพืชพรรณและสัตว์น้อยใหญ่นานาชนิดอาศัยอยู่ภายในผืนป่า รวมถึงมีสัตว์ป่าหรือพันธุ์พืชเฉพาะถิ่นในพื้นที่ด้วย – แต่ตอนนี้เหล่าต้นไม้ขนาดใหญ่นับพันกำลังจะถูกตัดและจมน้ำ

เนื่องจากป่าผืนใหญ่ดีที่สุดในเขาใหญ่กว่าพันไร่กำลังจะถูกตัดและจมน้ำ เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นอ่างเก็บน้ำขนาด 85 ล้านลูกบาศก์เมตรของกรมชลประทาน โดยมีวัตถุประสงค์กักเก็บน้ำมาใช้กับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่หลายปีที่ผ่านมา โครงการคืบคลานไปได้ช้ามาก 

จากเอกสารการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ  EIA บริเวณพื้นที่อ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อ พบสัตว์ป่าในพื้นที่ศึกษาโครงการ 220 ชนิด ประกอบด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 38 ชนิด นก 116 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 43 ชนิด และสัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก 23 ชนิด พบสัตว์ป่าสงวน 1 ชนิด คือ เลียงผาเหนือ และสัตว์ป่าที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ จำนวน 4 ชนิด เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด ได้แก่ กระทิง หมีหมา หมีควาย และช้างป่า และสัตว์ป่าที่มีสถานภาพใกล้สูญพันธุ์ และต้องมีการอพยพครอบครัวชาวคลองมะเดื่อนับร้อยคนออกจากพื้นที่

นายโสภณัฐต์ กิ่งผา สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลสาริกา แกนนำชุมชนบ้านคลองมะเดื่อ เล่าให้ฟังว่า “ทุกครั้งที่มีการประชุมกับกรมชลประทานที่ประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม จำนวนคนที่เห็นด้วยกับโครงการเขื่อน 75 เปอร์เซ็นต์ และไม่เห็นด้วย 5 เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นตัวเลขที่กรมชลประทานเอาคนตำบลอื่นๆ เข้ามารวม พอถามชุมชนอื่นว่าจะสร้างเขื่อนคลองมะเดื่อแล้วส่งน้ำมาให้เอาไหม ทุกคนเอาอยู่แล้ว มันไม่เป็นธรรมกับคนคลองมะเดื่อ”

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ อ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อเป็น 1 ใน 7 โครงการสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่มรดกโลกดงพญาเย็นเขาใหญ่  ดังนี้ 

  1. อ่างเก็บน้ำคลองมะเดื่อ  อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก 
  2. อ่างเก็บน้ำห้วยสโตน อุทยานแห่งชาติตราพระยา จังหวัดสระแก้ว 
  3. อ่างเก็บน้ำลำพระยาธาร อุทยานแห่งขาติเขาใหญ่ จังหวัดปราจีนบุรี 
  4. อ่างเก็บน้ำใสน้อยใสใหญ่ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดปราจีนบุรี 
  5. อ่างเก็บน้ำคลองวังมืด อุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี 
  6. อ่างเก็บน้ำคลองหนองแก้ว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดปราจีนบุรี 
  7. อ่างเก็บน้ำคลองบ้านนา อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครนายก

หากมีการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งหมด คาดว่าจะสูญเสียพื้นที่ป่าในอุทยานแห่งชาติทั้งสามแห่งประมาณ 16,000 ไร่ ซึ่งแต่ละแห่งได้ดำเนินตามขั้นตอนต่างๆ แล้ว เช่น การยื่นขอศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและข้อมูลอื่นเพื่อนำไปประกอบการยื่นขออนุญาตดำเนินโครงการตามลำดับขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำป่าคลองมะเดื่อ นับเป็นโครงการที่มีความก้าวหน้าสำหรับการดำเนินการมากที่สุด โดยได้ทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เสร็จแล้ว และเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.)

ทั้ง ๆที่  คณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 มีมติเน้นย้ำให้ยกเลิกแผนการก่อสร้างเขื่อนและอ่างเก็บน้ำภายในพื้นที่มรดกโลกอย่างถาวร

ขณะที่ด้าน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการดำเนินการสภาพภูมิอากาศ (Climate Ambition Summit) ในโอกาสเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 78 เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 โดยได้ประกาศความมุ่งมั่นของไทยในการรับมือกับ ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ครอบคลุมร้อยละ 55 ของพื้นที่ทั้งหมดภายในปี 2580  เพื่อแก้ปัญหาภาวะโลกเดือด

ปัจจุบันพื้นที่ป่าของประเทศไทยเหลือเพียงร้อยละ 31.64 ของพื้นที่ทั้งหมด แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่ป่าประเทศไทยยังไม่เคยไปถึงร้อยละ 40 ของพื้นที่ นับว่ายังห่างไกลจากตัวเลขร้อยละ 55 ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวในอีกสิบสี่ปีข้างหน้าตามความมุ่งมั่นของนายเศรษฐา

เรากำลังทำเรื่องการจัดการน้ำในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่เมื่อเกือบร้อยปีก่อน แต่ทำไมการจัดการน้ำบ้านเราถึงยังย่ำอยู่กับที่มานาน ต้องแลกกับการสูญเสียพื้นที่ป่าตลอดเวลา และกรมชลประทานควรหาวิธีการจัดการน้ำใหม่ที่เหมาะสมกับ สภาพการณ์และยุคสมัยที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างรุนแรงเช่นนี้

หากรัฐบาลชุดนี้จริงใจต่อการแก้ปัญหาภาวะโลกเดือด เหมือนกับที่ไปพูดในเวทีต่างประเทศ ควรจะต้องประกาศอย่างชัดเจนว่า ‘จะไม่มีนโยบายการสร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนในป่าอีกต่อไป’

Leave a comment