วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

ผู้เขียนอาศัยอยู่บนถนนสุขุมวิทมาหลายสิบปี เมื่อธุรกิจการค้า การพัฒนาที่ดินเติบโตอย่างก้าวกระโดดบนถนนสายนี้ เห็นศูนย์การค้า โรงแรม คอนโดมิเนียมเกิดขึ้นดอกเห็ดติดต่อกันหลายปี โดยเฉพาะพื้นที่ริมถนน มักจะถูกกว้านซื้อมาก่อสร้างเป็นศูนย์การค้าหรูหราขนาดใหญ่
แม้จะมีรถไฟฟ้า BTS สายแรกแล่นผ่าน แต่ปัญหาการจราจรบนท้องถนนสายนี้ก็หาได้ลดลงไม่ นับวันกลับเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง แม้ยามค่ำคืน การจราจรติดขัดก็หาได้ลดลง วันหยุด วันเสาร์อาทิตย์อาจจะติดหนักเป็นพิเศษ เพราะคนเข้าห้างซื้อของกันมากขึ้น และการเดินศูนย์การค้ากลายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมืองไม่ต่างจากสวนสาธารณะ
สถานการณ์การจราจรบนถนนสายนี้ ทำให้ผู้เขียนเลิกขับรถส่วนตัว พึ่งรถไฟฟ้าสาธารณะมานานแล้ว แต่ก็อดเห็นใจคนใช้รถบนถนนไม่ได้
ขณะนี้ แถวสุขุมวิทจะมีห้างขนาดใหญ่ดังระดับโลกเตรียมมาเปิด ขณะที่มีศูนย์การค้าขนาดยักษ์อีกแห่งสร้างอยู่แทบติดกัน และก่อนหน้านี้ก็มีศูนย์การค้าหรูหราสร้างมาหลายปีแล้ว
แน่นอนว่า รถที่ติดแล้วต้องติดหนักตลอดสาย ไล่ไปตั้งแต่แถวทองหล่อยาวไปจนถึงสี่แยกปทุมวัน มีศูนย์การค้าขนาดยักษ์นับสิบแห่งสร้างเรียงรายกันเป็นระยะ ไล่ตั้งแต่ Emporium EmQuartier Central Siam Paragon ฯลฯ
แต่ละวันรถนับหมื่นคันที่เข้าๆออกๆ และแถมยังมีรปภ.มายืนห้ามรถบนถนน เพื่อระบายให้รถในศูนย์การค้าออกไปไปก่อน ช่องทางจราจรแทบหายไปหนึ่งช่อง รถบนนท้องถนนก็ติดกันยาวเหยียด
ไม่นับรถแท็กซี่ รถสามล้อที่จอดริมถนนเสียไปอีกหนึ่งเลน เพื่อรอรับผู้โดยสารจากห้าง
และไม่เพียงแต่บนถนนสุขุมวิทเท่านั้น ถนนอีกหลายสายก็มีปัญหารถติดหนักหน้าศูนย์การค้าเช่นกัน
เพื่อนที่เป็นสถาปนิกท่านหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า สาเหตุหนึ่งที่ศูนย์การค้าเกิดขึ้นมากมายในกทม. เพราะอนุมัติง่าย เนื่องจากศูนย์การค้าส่วนใหญ่ไม่ต้องทำ EIA หรือรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเหมือนกับการสร้างคอนโดมิเนียมหรือโรงแรม ทำให้ลดขั้นตอนไปเยอะ
กฎหมายสิ่งแวดล้อมหลักที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งเป็นที่มาของการจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อ EIA-Environmental Impact Assessment ได้ระบุว่า อาคารที่ต้องทำ EIA คือ
“อาคารที่ใช้ในการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนี่งชั้นใดในหลังเดียวกันตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป”
แต่หากอาคารมีขนาดต่ำกว่า 10,000 ตารางเมตร ก็ไม่ต้องทำ EIA
ซึ่งทำให้ห้างหลายแห่งไม่ต้องทำ EIA และบางแห่งใช้เทคนิคในการก่อสร้าง และช่องโหว่ทางกฎหมาย แม้ว่าตัวอาคารจะเกิน 10,000 ตารางเมตร แต่สามารถก่อสร้างได้โดยไม่ต้องทำ EIA
สถาปนิกในวงการอสังหาริมทรัพย์ท่านหนึ่ง ได้ให้ความเห็นว่า “การที่ห้างไม่ต้องทำ EIA เพราะ ถูกตีความว่า เป็นอาคารที่ไม่มีการอยู่อาศัย และ ไม่ได้เป็นการใช้งานแบบเป็นประจำ มีคนเข้ามาทุกวันแบบอาคารสำนักงาน และ เคยมีการพูดคุยกัน ระหว่างการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่จะให้มีการเปลี่ยนกฎกติกาข้อนี้เพื่อให้ต้องยื่น EIA แต่ยังไม่มีการดำเนินการเปลี่ยนแปลง กติกาข้อนี้แต่อย่างใด”
การทำ EIA น่าจะเป็นมาตรการอย่างหนึ่งที่ทำให้บรรดาศูนย์การค้าต้องมีความเข้มงวดในการก่อสร้างอาคาร และความรับผิดชอบต่อสาธารณะ การจราจร อาคารจอดรถและประโยชน์ของส่วนรวม
ในมหานครหลายแห่งทั่วโลก ศูนย์การค้าขนาดใหญ่มักจะตั้งอยู่ตามชานเมือง เพื่อแก้ปัญหาการจราจรติดขัด และ จากข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกพบว่า ประเทศไทยมีรถยนต์ทุกประเภท 42,691,494 คัน อยู่ในกรุงเทพฯ 11,370,143 คัน มากกว่าประชากรในกรุงเทพฯที่มี 5,500,000 คน หากนับรวมประชากรแฝงก็อาจจะร่วม 10 ล้านคน
แน่นอนว่า หลายคนทราบดีว่า การแก้ปัญหาระยะยาวหากทำได้ ก็มีตัวอย่างจากเมืองนอกให้เห็น คือการสร้างระบบขนส่งสาธารณะให้ดี มีโครงข่ายที่เชื่อมโยงกันได้จริง ทำให้การใช้รถบนท้องถนน ต้องมีราคาจ่ายที่แพงมาก ไม่ว่าการเก็บเงินที่จอดรถหรือการบังคับใช้วันคู่ วันคี่ในการขับรถเข้าไปในย่านที่มีการจราจรพลุกพล่าน
แต่ตอนนี้ห้างยักษ์ใหญ่แบรนด์จากต่างประเทศที่เคยตั้งอยู่นอกกรุงเทพมหานคร กำลังจะขยายสาขาเข้ามาเปิดกลางเมือง
ผู้เขียนลองสอบถามเพื่อนหลายคนได้แสดงความเห็นว่า
“ต้องห้ามมีการรับส่งคนและสินค้าหน้าห้างริมถนน ไม่ว่าจะรถแท็กซี่ รถมอเตอร์ไซค์ ต้องบังคับให้เข้าไปรับส่งในบริเวณห้างเท่านั้น บางประเทศ เขาบังคับให้ห้างต้องมีพื้นที่ให้รถสาธารณะเข้าไปจอดรับส่งในพื้นที่ของห้างด้วย การมีรถแท็กซี่รถมอเตอร์ไซค์ จอดรอ จอดรับส่งริมถนน มีส่วนสำคัญมากในการทำให้รถติด”
“ห้างที่อยู่ใจกลางเมือง ถ้ามีความรับผิดชอบต่อสังคมจริง จะต้องมีที่จอดรถน้อยๆ แล้วก็ต้องเก็บค่าจอดรถแพงๆด้วย เพื่อให้คนที่ขับรถไปจะต้องจำเป็นจริงๆ ถ้าไม่จำเป็นก็สามารถไปโดยรถโดยสารหรือรถไฟฟ้าได้”
“จะว่าห้างอย่างเดียวก็ไม่ถูก หลายๆ ฝ่ายต้องช่วยกัน เช่น ที่สิงคโปร์ ต้องเสียเงินเพื่อขับรถเข้าเขตเมือง/ย่านธุรกิจ วิธีการนี้ช่วยลดปัญหาจราจร แต่จะทำแบบนี้ต้องมีทางเลือก ขนส่งมวลชน/รถสาธารณะต้องมีรองรับและครอบคลุมทุกพื้นที่”
“ระบบขนส่งมวลชนเข้าไม่ทั่วถึง คนเลยชอบใช้รถแล้วแห่เข้ามาใจกลางโซนสีแดง (พาณิชยกรรม) ไม่ว่าจะเป็นโซนอโศก ราชประสงค์ สยามหรือสามย่านก็ตาม เนื่องจากการจะเข้ามาถึงโซนเหล่านี้ได้จะต้องขับรถเข้ามาหรือไม่ก็ต้องใช้ระบบขนส่งมวลชนหลายต่อที่ทำให้ลำบากในการเดินทาง คนก็เลยเลือกที่จะนั่งรถสบาย ๆ กันและเข้ามาติดตรงทางเข้าห้างโซนสีแดง “
“วิธีแก้ไขปัญหารถติดในต่างประเทศ
* มะนิลา: วันคู่ อนุญาตให้รถที่ทะเบียนลงท้ายด้วยเลขคู่ขับเข้ามาในเขตที่การจราจรแออัด / วันคี่ อนุญาตให้รถที่ทะเบียนลงท้ายด้วยเลขคี่ขับเข้ามาในเขตที่การจราจรแออัด
* สิงคโปร์: ทำให้การเข้าใช้ถนนบางเส้นเเพงขึ้นมากๆ และไม่คิดค่าผ่านทางช่วงเช้า เพื่อสนับสนุนให้คนบางส่วนเดินทางในชั่วโมงที่ไม่เร่งด่วนมากนัก + เก็บภาษีการบริโภคเเพงๆ ให้ประมูลสิทธิ์การมีทะเบียนรถในราคาเเพงกว่าราคารถยนต์ + สร้างระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกกว่าการขับรถยนต์
คนสิงคโปร์นิยมใช้รถไฟฟ้ากับรถบัสมากกว่าเพราะสะดวกมาก ตรงเวลา ราคาไม่แพง ควันไม่ดำ ขับตามกฎจราจร ปลอดภัยมีกล้อง แอร์เย็น จอดตรงป้าย ราคาตั๋วโดยสารของสิงคโปร์ราคาพอๆกับกรุงเทพฯ”
ความจริงต้องยอมรับคือ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่มีส่วนในการทำให้เกิดการจราจรติดขัด แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของห้างเหล่านี้จะหามาตรการในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดเหล่านี้อย่างไรบ้าง
นอกจากเอารปภ. มายืนโบกไม่ให้รถทางตรงไป เพื่อจะระบายรถในห้างตัวเองไปก่อน