วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

แต่ละปี จะมีคนไทยหลายหมื่นคนทั้งภาคเอกชนและภาคราชการ องค์กรอิสระไปดูงานที่ต่างประเทศ แต่ก็มีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ลับหลังมาตลอดว่า ไปดูงานจริงไหม และได้เอาความรู้ที่ดูงานกลับมาใข้มากน้อยเพียงใด
ยิ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือระดับบริหารแล้ว การดูงานต่างประเทศกระทำกันเป็นเรื่องปกติจนกลายเป็นวัฒนธรรมของทุกหน่วยงาน
ในบรรดาประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการดูงานแล้ว ดูเหมือนประเทศญี่ปุ่นเป็นจุดหมายสำคัญของการดูงานของทุกหน่วยงานทีเดียว
แน่นอนว่า ใครๆ ก็อยากไปเที่ยวดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย ค่าใช้จ่ายไม่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทางยุโรป และมีเรื่องราวหลากหลาย ให้ดูงานมากมาย ตั้งแต่เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ไปจนถึง วิถีชีวิต ธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม กีฬา ไปจนถึงอุตสาหกรรมบันเทิง และ เมื่อไม่นานมานี้ หน่วยงานหลายแห่งจำนวนมากพากันไปดูงานหลายจังหวัดในประเทศญี่ปุ่น อาทิเช่น
ศึกษาดูงานด้านวัฒนธรรมท้องถิ่นของจังหวัดโอะอิตะ
ศึกษาดูงานด้านนโยบายการส่งเสริมผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตสินค้าพื้นเมือง Oita-Oyama noukyou และการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
ศึกษาดูงานการพัฒนาพลังงานจากความร้อนใต้ดิน ณ Geothermal Power Beppu
ศึกษาดูงานด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน/การพัฒนาท่าเรือเชิงพาณิชย์ณ ท่าเรือโมจิโกะ
ศึกษาดูงานเทคโนโลยีของโรงผลิตหุ่นยนต์อุตสาหกรรมด้วยหุ่นยนต์ ศึกษาดูงานการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมแบบ MultiStakeholder จัดการขยะได้อย่างเป็นรูปธรรมและกลายเป็นเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ที่มีน้ำของเสียจากอุตสาหกรรมมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อลดการปล่อยของเสียจากโรงงานเป็น “Zero Emission” มีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดของเสียน้อยที่สุด ณ KITAKYUSHU Eco-Town Project เป็นต้น.
ต้องยอมรับว่า ประเทศญี่ปุ่น มีตัวอย่างที่ดี หรือ good practice จำนวนมาก ที่ทำให้ประเทศหลายประเทศอยากเจริญรอยตาม จนต้องมาดูงานครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่สุดท้ายก็ได้แต่ดูงาน แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถนำกลับมาใช้เมืองไทยได้ อย่างมากก็กลับมาทำรายงานพอเป็นพิธี ว่าไปดูงานเรื่องอะไร แล้วคาดว่าจะนำมาปรับใช้ในหน่วยงานตัวเองอย่างไร สุดท้ายข้อมูลเหล่านั้นก็ทิ้งอยู่ในไฟล์คอมพิวเตอร์ พอนานเข้าสิ่งที่ดูงานก็กลายเป็นอดีต จนต้องกลับไปดูงานกันใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า
อันที่จริงหลายคนที่ไปดูงานในประเทศญี่ปุ่น มักตั้งคำถามกลับมาว่า ทำไมประเทศของเขาถึงเจริญกว่าเรา ทำไมเขาถึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็วกว่าไทย ทำไมเขาทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้
สุดท้ายคือคำถามใหญ่คือ ทำไมคุณภาพคนญี่ปุ่นจึงแตกต่างจากคนไทยมาก ซี่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการจะทำให้สังคมรุดไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง
ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตพื้นฐานนิสัยบางอย่างที่แสดงความแตกต่างระหว่างคนญี่ปุ่นกับคนไทย
1 คนญี่ปุ่นทำงานเป็นทีม ถูกปลูกฝังแต่เด็กให้อยู่ร่วมกัน รับผิดชอบร่วมกันทำงานเป็นหมู่คณะ ไม่เหมือนคนไทย ที่ชอบทำงานคนเดียว คำว่าทีม ยังเป็นศัพท์ที่ต้องยืมมาจากภาษาอังกฤษเลย แสดงว่าโดยพื้นฐานคนไทยถนัดทำอะไรคนเดียว หลายครั้งที่ทำงานเป็นทีม มักทะเลาะกัน
2 คนญี่ปุ่นไม่ผลักภาระตัวเองให้คนอื่น แต่จะรับผิดชอบตัวเองให้มากที่สุด ยกตัวอย่าง หากเดินไปตามท้องถนนมักจะไม่ค่อยมีถังขยะให้คนทิ้ง . เพราะคนญี่ปุ่นทั่วไปจะไม่ทิ้งขยะในที่สาธารณะ แต่จะเก็บมาทิ้งบ้านตัวเอง เพราะการทิ้งขยะในที่สาธารณะเป็นการผลักภาระให้สังคมหรือคนอื่น ขณะที่เมืองไทยมีถังขยะทุกร้อยเมตร สะท้อนการผลักภาระตัวเองให้คนอื่น คนไทยจึงชอบทิ้งขยะในที่สาธารณะจนเป็นเรื่องปกติ เพราะคิดว่า เดี๋ยวก็มีคนมาเก็บขยะให้
3 การปกครองของญี่ปุ่น มีการกระจายอำนาจไปทั่วประเทศ ความเจริญและงบประมาณจึงไม่ได้กระจุกตัวที่เมืองหลวง แต่กระจายไปทั่วประเทศ ท้องถิ่นสำคัญไม่น้อยกว่าเมือง ข้าราชการส่วนกลางต้องฟังผู้นำท้องถิ่นมากกว่า วัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนายไม่ค่อยมี ความรวดเร็วในการตัดสินใจจึงคล่องตัวกว่า ขณะที่ผู้มีอำนาจในสังคมไทยทุกยุคทุกสมัย ทำทุกวิถีทางที่จะรวบอำนาจไปสู่ส่วนกลาง และมีเจ้านายลำดับชั้นคอยบังคับบัญชามากมายจนกลายเป็นระบบที่อุ้ยอ้าย เชื่องช้า เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ
4 คนญี่ปุ่นมีวินัยในการทำงานสูงมาก ข้อนี้ใครๆก็ทราบดี ไม่ว่าเรื่องของการตรงเวลา การนัดหมายและการประชุม ขนาดในห้องประชุมใครใช้โทรศัพท์มือถือ ถือว่าผิดวินัยร้ายแรง ไล่ออกสถานเดียว
5 คนญี่ปุ่นมีความอดทนสูงมาก สามารถยืนรอไฟเขียวข้ามถนนกลางหิมะตกได้หลายนาที แม้ถนนจะว่าง เพราะเขาเชื่อว่าความอดทน ทำให้เราไม่เห็นแก่ตัว
6 คนญี่ปุ่นมักจะต่อแถวเข้าคิวกันยาวเหยียดเป็นเรื่องปกติ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554 แผ่นดินไหวใต้ทะเลด้วยความรุนแรงขนาด 9 ริกเตอร์ ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงนับสิบเมตรถล่มเกาะญี่ปุ่น ทำให้มีคนบาดเจ็บและล้มตายนับหมื่นคน เป็นภัยพิบัติร้ายแรงที่สุดในรอบสามร้อยปีแต่มีภาพ ๆหนึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้คนไปทั่วโลกภาพคนญี่ปุ่นเข้าคิวรอซื้อสินค้า หรือรอรับการแจกของจากเจ้าหน้าที่นานนับชั่วโมง อย่างมีวินัยอดทนเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีการแซงคิวแย่งอาหารกัน เพราะพวกเขาเชื่อว่าสังคมนี้จะให้ความยุติธรรมโดยเท่าเทียมกัน
ข้อสังเกตเล็ก ๆ นี้ ทำให้ไม่แปลกใจว่า หลายครั้งที่คนไทยกลับจากไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ไม่อาจนำเอาเรื่องดีๆมาใช้กับองค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่ได้ เพราะอุปสรรคจากวัฒนธรรมนิสัยการทำงานของพวกเรากันเอง