อานันท์ ปันยารชุน ในวัย 91

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

หากถามคนหลายรุ่นในปัจจุบันว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีของไทยที่อยู่ในใจมากที่สุด

เชื่อได้ว่า ชื่อคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ผู้ดำรงตำแหน่งสองสมัย ช่วงระหว่างปีพ.ศ. 2534-2535 น่าจะเป็นคนหนึ่งที่มีผู้คนชื่นชมมากที่สุด ผู้คนยกมือไหว้ได้สนิทใจ แม้เวลาจะล่วงเลยมานานกว่าสามสิบปี

ปีนี้คุณอานันท์มีอายุ 91 ปีแล้ว ท่านเกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2475  ผู้เขียนรู้จักท่านมายี่สิบกว่าปี และมีโอกาสได้ทานอาหารกับท่านเงียบๆเนื่องในวันคล้ายวันเกิดที่ผ่านมา

ท่านเป็นนักเรียนนอก จบการศึกษาปริญญาตรีด้านกฎหมาย (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ และรับราชการกระทรวงต่างประเทศอยู่ในวงการทูตมาตลอดชีวิตราชการ

 ในปี พ.ศ. 2518 อานันท์ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย เดินทางไปกรุยทางเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช จะเดินทางไปสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา  มีโอกาสได้จับมือกับประธานเหมา เจ๋อ ตง และในปีเดียวกันได้รับแต่งตั้งเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศในวัยเพียง 43 ปี

แต่หลังการทำรัฐประหารจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 คุณอานันท์ ข้าราชการหัวก้าวหน้าในเวลานั้น ได้ถูกคณะรัฐประหารสั่งพักงาน โดยถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์  ครอบครัวได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาก ถือเป็นมรสุมชีวิตครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิต และแม้ผลการสอบสวนจะบริสุทธิ์ทุกข้อหา แต่ก็ถูกย้ายให้ไปเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ต่อมาในปีพ.ศ. 2522 ด้วยความอึดอัดใจจึงลาออกจากอาชีพราชการและหันหน้าสู่วงการธุรกิจเต็มตัว

“เหตุการณ์ครั้งนั้นถือว่าถูกกลั่นแกล้งอย่างน่ากลัวมาก เป็นมรสุมชีวิตครั้งร้ายแรงที่สุด มันกระเทือนมาถึงสภาวะทางจิตใจของครอบครัวจนถึงทุกวันนี้ ” คุณอานันท์รำลึกความหลังเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนอย่างสั้น ๆ

หลังจากคณะนายทหารในนาม คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ได้ร่วมกันทำรัฐประหารล้มรัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณในปีพ.ศ. 2534  ท่านได้รับเชิญให้เป็นนายกรัฐมนตรี ที่แม้จะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ตลอดเวลาในการดำรงตำแหน่ง ได้เชิญคนมีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริตมาร่วมคณะรัฐมนตรี ไม่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลของคณะรัฐประหาร ที่พยายามจะเข้ามากดดันหาผลประโยชน์หลายครั้ง

“ช่วงเวลานั้น ผมต้องขัดแย้งกับกลุ่มนักธุรกิจใหญ่บางกลุ่มที่ร่วมมือกับนายทหารจ้องจะเข้ามาหาประโยชน์”

หลังจากลาออกจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ท่านหันหลังให้กับตำแหน่งทางการเมืองโดยสิ้นเชิง ไม่สนใจหัวโขน แม้จะมีข่าวลือต่าง ๆนานา ในช่วงที่บ้านเมืองวิกฤติว่าจะเข้ามารับตำแหน่งอีก  แต่ยังติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างสม่ำเสมอ

ท่านเล่าว่ารู้จักคนทุกฝ่าย นักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ เอ็นจีโอ ชาวบ้าน ผู้นำนักศึกษา โดยเฉพาะนักการเมืองรู้จักดี ทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ ทั้งส.ส. หรือ ส.ว. เพราะเป็นคนชอบเรียนรู้ตลอดเวลา

“วันก่อนเพิ่งไปงานเปิดตัว 50 ปี 14 ตุลาคม 2516 เจอส.ว.หลายคน แต่ไม่คุยกันเรื่องการเมือง เพราะรู้ว่าต่างคนคิดอะไร ”

“เพื่อนหลายกลุ่มที่สนิทกัน ก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันเรื่องการเมืองเสมอไป โลกนี้มีเรื่องอื่นให้คุยตั้งเยอะแยะ”

“ แต่ในชีวิตมีเพื่อนคราวลูกคนหนึ่ง ที่ทำงานเพื่อสังคมจริงๆ และเปลี่ยนชีวิตผม คือคุณมด  (วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ อดีตที่ปรึกษาสมัชชาคนจน ผู้ล่วงลับไปแล้ว)  คือตลอดชีวิตผมนี่ทำงานต่างประเทศ ใช้ชีวิตอยู่ในวงคนชั้นสูงมาตลอด แต่มด ทำให้ผมรู้จักประเทศไทย รู้จักชนบท รู้จักความยากจนของคนจนจริง ๆ  แกพาผมไปพบปะชาวบ้านตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะชาวบ้านที่เขื่อนปากมูล ผมทึ่งแกมาก ที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อคนจน คนยากไร้มาตลอด แต่จิตใจยังนิ่งและจริงใจเสมอ  ผมรู้จักมดมายี่สิบกว่าปี และถือว่าเป็นบุญของผมที่ได้มารู้จักมด มดเป็นผู้ให้ผมมากว่าผมเป็นผู้ให้เขา มดอาจจะไม่รู้ตัวว่าให้อะไรแก่ผม แต่ผมรู้ดี”

 ในวงสนทนาท่านตลอดสองสามชั่วโมงให้แง่คิดการใช้ชีวิตในวัย 91 ที่น่าสนใจมาก

1 ท่านเรียนรู้ตลอดเวลา ติดตามข่าวสารและทันสมัยเสมอ ไม่เคยตกยุค อาทิ รู้จักคำว่า หิวแสง เป็นอย่างดี รู้จักผ่านคลิปที่สอนสำนวนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติได้เข้าใจ ท่านบอกว่าคนคิดสำนวนนี้เก่งมาก อ่านแล้วเห็นภาพเลย ส่วนคำว่า ทัวร์ลง รู้จักมาก่อนแล้ว เพราะสถานการณ์ช่วงนี้ มีรถทัวร์มาลงที่บ้านเป็นประจำ พูดพลางหัวเราะ

2 ท่านบอกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ท่านคิดเชิงบวกตลอด คบเพื่อนต่างรุ่นต่างวัย หลายคนคิดไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร แต่เป็นเพื่อนพูดคุยกันได้ แต่ไม่ต้องคุยกันทุกเรื่อง คนทุกคนมีทั้งข้อดีข้อเสีย เราพยายามมองข้อดีของพวกเขา

3 ใช้ชีวิตและทำงานมาตลอดแบบไม่ซีเรียส ต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง แม้ว่าโลกจะเลวร้ายลง แต่ไม่เคยสิ้นหวัง เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ

4 ท่านลาออกจากกรรมการทุกตำแหน่งมานานแล้ว เพราะเราต้องยอมรับว่า ตามโลกไม่ทันทุกเรื่องและไม่จำเป็นต้องตามให้ทันทุกเรื่อง “อย่างธนาคารที่เคยเป็นประธานบริษัท เราก็ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆของแบงก์กิ้ง  ต้องปล่อยให้เด็ก ๆ ทำดีกว่า ไม่ใช่รุ่นเราแล้วที่ต้องไปมีอำนาจ มีตำแหน่ง เป็นอุปสรรคขององค์กรเปล่าๆ “

5 เราควรสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้มีโอกาสทำงานเยอะ ๆ ให้เขาเข้ามามีอำนาจ ให้เขาเข้ามาร่วมรับผิดชอบต่อสังคม ต้องยอมรับว่าสังคมจะเดินไปข้างหน้า เพราะคนกลุ่มนี้เป็นหลัก เพราะโลกเปลี่ยนแปลงและหมุนเร็วมาก ส่วนคนรุ่นเราต้องรู้จักพอ รู้จักถอยได้แล้ว

6 ชีวิตของคนมีหลายด้าน อย่าเพิ่งตัดสินคนจากการพูดคุยกับเพื่อนไม่กี่ครั้ง เพราะแต่ละคนมีเบื้องหลังรายละเอียดของชีวิตไม่เหมือนกัน พยายามเข้าใจคนก่อนจะตัดสินคน

7 ออกกำลังกายด้วยการเดินเสมอ อาทิตย์ละสามวัน ทุกวันนี้สมองยังใช้การได้ ความจำยังดี ตายังเห็น หูยังไม่ตึง อวัยวะสำคัญที่สุดคือขา ต้องหมั่นดูแล หากยังเดินได้ถือว่าโชคดีที่สุด ไม่เป็นภาระของใคร

8 กินอาหารได้ทุกอย่างเหมือนเดิม แต่กินพออิ่ม เพิ่มเติมคือวิสกี้ใส่น้ำแข็งสักแก้ว

9 แต่งงานมาหกสิบกว่าปี เข้าใจคำว่าคู่ชีวิตมากขึ้น ยิ่งอายุมาก ยิ่งรู้สึกว่ารักภรรยามากขึ้น

ดึกแล้ว พวกเราขับรถไปส่งท่านถึงบ้าน ท่านบอกว่า ขอบคุณมากนะสำหรับอาหารค่ำมื้อนี้ที่สนุกมาก แต่ผมยังไม่นอนหรอก รอดูถ่ายทอดเทนนิส หรือฟุตบอลก่อนนอน

Leave a comment