นิธิ เอียวศรีวงศ์ กับปัญหาเชิงโครงสร้าง

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

         ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนคิดจะเอาน้ำเต้าหู้คั้นสด ๆจากถั่วเหลืองที่ปลูกเอง เครื่องดื่มโปรดของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ไปเยี่ยมไข้ที่บ้าน แต่พอโทรศัพท์ติดต่อไป คนใกล้ชิดบอกว่า ตอนนี้ท่านป่วยหนักจนทานอะไรไม่ได้แล้ว

แม้จะเตรียมใจรับสภาพ แต่พอทราบข่าววันที่ท่านจากไปเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 แล้วใจหายจริงๆ

ผู้เขียนอ่านหนังสือท่านมายาวนานตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ  เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน เคยไปหาท่านเมื่อครั้งเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อขอให้เป็นที่ปรึกษานิตยสารสารคดี ที่ผู้เขียนทำงานอยู่

นึกถึงวันคืนเก่าๆ ที่เคยเดินทางไปกับท่านหลายพื้นที่ที่ชาวบ้านลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม อาทิเมื่อครั้งไปเยี่ยมชาวบ้านที่ยึดเขื่อนปากมูลที่ขวางกั้นแม่น้ำมูลจนชาวบ้านเดือดร้อนจากอาชีพประมง หรือชาวบ้านที่กำลังประท้วงการสร้างโรงไฟฟ้าบ่อนอก หินกรูด ที่จะก่อมลพิษครั้งใหญ่ ฯลฯ

ยังจำได้ว่าประมาณปีพ.ศ.2543  ตอนเราไปดูชาวบ้านสำรวจชนิดพันธุ์ปลาแม่น้ำมูล ที่ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์มาสำรวจอย่างจริงจัง แกตั้งประเด็นว่า” ชาวบ้านรู้หมดว่าปลาพันธุ์อะไร ชื่ออะไร เพราะอยู่กับแม่น้ำมาตลอดชีวิต แต่พวกเราก็ไม่ตื่นเต้น หากเป็นนักวิชาการมาสำรวจ เราจะตื่นเต้นเชื่อถือมากกว่า เพราะอะไร”

“ที่อื่น ๆในโลกว่ากันว่ารัฐเล็กลง แต่ในเมืองไทย รัฐเล็กลงแต่ดันไปอยู่ข้างทุน เพราะฉะนั้นก็จะเกิดการเผชิญหน้ากับชาวบ้านตลอดเวลา โดยทุนหลบไปนอนสบาย ๆ ปล่อยให้รัฐตีกับคนจนเอง เช่นอยู่ดี ๆยกที่ 7 แสนไร่ให้นายทุนจีนปลูกยูคาลิปตัส ลองชาวบ้านไปถอนกล้ายูคาฯออกสิ ตำรวจมาแล้ว”

อาจารย์บอกว่านี่คือส่วนหนึ่งของปัญหาเชิงโครงสร้าง

ทุกวันนี้ เวลาพูดถึงปัญหาสังคมในวงสนทนา หรือทางสื่อต่าง ๆ  จะได้ยินคำนี้บ่อย ๆ คือ “ปัญหาเชิงโครงสร้าง”

         แม้แต่พรรคก้าวไกลที่ได้รับคะแนนจากการเลือกตั้งปี 2566 สูงสุด ก็ชูนโยบาย การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นหลัก  ขณะที่พรรคเพื่อไทยที่ได้รับเลือกตั้งอันดับสองชูนโยบาย แก้ปัญหาเศรษฐกิจ เป็นหลัก

         ปัจจุบันดูเหมือนว่า ประชาชนจำนวนมากในสังคมได้เริ่มเห็นว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง  ซึ่งเป็นเรื่องของความผิดปกติ ความไม่ยุติธรรม ความเหลื่อมล้ำของโครงสร้างต่าง ๆในสังคม อันได้แก่ กฎระเบียบ กลุ่มคนต่าง ๆ สถาบัน องค์กร ผู้มีอำนาจในสังคม  การเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง การผูกขาด โอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน  ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ฯลฯ เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ

         อาจารย์ นิธิ น่าจะเป็นนักวิชาการคนแรก ๆ ที่กระตุกให้ผู้คนรู้จักและเข้าใจ ปัญหาเชิงโครงสร้าง มาอย่างต่อเนื่องและยาวนานตั้งแต่ไม่ค่อยมีคนสนใจ เรียกว่าแทบจะทุกเวทีที่แกไปพูดหรืออภิปรายเกี่ยวกับปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ว่าปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาที่สะสมมานานและเป็นสาเหตุพื้นฐานที่ก่อให้เกิดปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม  และถ้าเริ่มต้นแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่สำเร็จ ก็จะแก้ปัญหาสังคมได้ยาก เช่นเดียวกับการกลัดกระดุมเม็ดแรก

         “ประเทศไทยตั้งแต่อดีตเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่กึ่งผูกขาดโดยคนกลุ่มหนึ่ง หรือ oligopoly ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาด้านอื่นๆ ของประเทศ โดยมีสาเหตุจากสังคมไทยขาดสำนึกในความเท่าเทียมของประชาชนในฐานะ “คนร่วมชาติ” เดียวกัน เนื่องจากไม่เคยผ่านประสบการณ์กู้เอกราชเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน เป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่ได้เป็นอาณานิคม ยังไม่มีการเปลี่ยนสังคม ทั้งสังคม จึงมองเห็นคนในสังคมแบบมีชนชั้น และกลายเป็นกลุ่มคณาธิปไตยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทหาร นักการเมือง นายทุน เข้ามาแบ่งผลประโยชน์กัน กลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจกึ่งผูกขาดโดยคนกลุ่มหนึ่งในที่สุด  ตลาดที่มีผู้ขายเพียงน้อยราย คนจำนวนน้อยเพียงหยิบมือเดียวมีผลต่อตลาดมากกว่าร้อยละ 70-80…oligopoly คือคอร์รัปชันที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในสังคมไทยและไม่ค่อยมีคนพูดถึง ”

                                                                  30 ตุลาคม 2557 งานเสวนา  “รัฐไทยกับการแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ”

         เมื่อครั้งที่ท่านเคยเป็นกรรมการปฏิรูปประเทศ ได้แสดงทัศนะไว้น่าสนใจว่า

         “ความเหลื่อมล้ำด้านสิทธิ อย่าพูดแต่เพียงว่ามีกฏหมายเท่าเทียมกัน เพราะในทางปฏิบัติกรณีโสเภณีแจ้งความว่าถูกข่มขืน ตำรวจก็ไม่รับแจ้งความ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวทัศนคติของหญิง – ชาย ความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส ความเหลื่อมล้ำด้านอำนาจ หมายถึงอำนาจตามที่กฎหมายกำหนด ไม่สามารถใช้ได้จริง… ตำรวจจราจรไม่กล้าจับรถเบนซ์ เพราะกลัวว่าคนขับจะมีอำนาจเกินกว่าจะบังคับใช้ ความเหลื่อมล้ำด้านศักดิ์ศรี คนบ้านนอก คนอีสาน คนชนกลุ่มน้อย ชาวเล ชาวเขา ล้วนแต่ถูกปฏิบัติโดยไม่ได้รับความเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม…ปัญหาเขื่อนปากมูล เขื่อนเดียวสร้างไฟฟ้าเลี้ยงคนทั้งห้างพารากอนยังไม่พอ แต่ทำร้ายวิถีชีวิตของชาวประมงร่วมแสนคน “

         “ปัญหาโครงสร้างกระบวนการยุติธรรมที่ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหาให้เกิดความเป็นธรรมได้ เพราะโครงสร้างบังคับให้ตั้งแต่ตำรวจยันผู้พิพากษา ต้องปฏิบัติตามกรอบอย่างเคร่งครัดแม้จะมีความสงสารก็ตาม จนต้องยึดถือแต่เอกสารราชการ แต่ไม่เคยลุกออกจากบัลลังก์แล้วไปดูในพื้นที่ สัมผัสกับความจริง ร่องรอยหลักฐานอีกเยอะแยะ”

         “การจัดการทรัพยากรในท้องถิ่น เราผูกอำนาจไว้ที่ส่วนกลางหมด ฉะนั้นคนในท้องถิ่นจะจัดการบริหารทรัพยากรตนเองไม่ได้ หากใครเข้าถึงอำนาจส่วนกลางได้มาก ก็สามารถเข้าถึงการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นได้มาก เช่นมีความสัมพันธ์กับนักการเมือง ย่อมสามารถระเบิดภูเขาหลังบ้านคนอื่นได้ เพราะอำนาจตัดสินใจอยู่ที่ส่วนกลางไม่ใช่อยู่ที่เจ้าของบ้าน  ดังนั้นใครที่ใหญ่โตขึ้นมา จึงต้องพยายามเชื่อมโยงเข้ามาให้ถึงอำนาจบริหารจัดการทรัพยากรที่สุด นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมเจ้าพ่อต้องควักกระเป๋าเลี้ยง ส.ส. ขนลูกน้องไปเป็นรัฐมนตรี นี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกคนพยายามแทรกเข้าไปอยู่ในการเมืองส่วนกลาง… ต้องทำให้อำนาจเหล่านี้กระจายออกไปให้ถึงมือคนอย่างทั่วถึง ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบต้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจ ต้องมีอำนาจในการสั่งหยุดโรงงาน จนกว่าจะตรวจสอบว่าปลอดภัย เป็นต้น”

                                                    19 มีนาคม  2554 งานเสวนา “ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปประเทศไทยมุมมองและความคิด”

           “ สังคมไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำอยู่มาก โดยปัญหาเหลื่อมล้ำนั้นล้วนเกิดจากความผูกพัน 3ประการ คือ รัฐ ทุนและสังคม ซึ่งเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่สามารถต่อรองกันได้ เพราะรัฐกับทุนที่มีอำนาจการบริหารจัดการสูงเกินที่ภาคสังคมจะสามารถเข้าตรวจสอบถึง  จึงทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของฐานะชนชั้น ตราบใดที่สังคมไทยยังพบความเหลื่อมล้ำ ก็ย่อมต้องเกิดความอยุติธรรมในสังคมด้วย ส่งผลให้ประเทศชาติไม่สามารถพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจได้…หัวใจในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ คือการปฎิรูปอำนาจ รัฐต้องกระจายอำนาจบริหารและการตัดสินใจให้ส่วนท้องถิ่นให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดเวทีการต่อรอง ก่อเกิดการดูแลระบบสาธารณูปโภคของท้องถิ่นเอง รวมถึงงบประมาณเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน”

                                                              17 มิถุนายน 2553 งานเสวนา  “แผ่นดินเดียวกัน แต่เหมือนอยู่กันคนละโลก”

อาจารย์นิธิน่าจะเป็นปราชญ์ผู้ฉลาดหลักแหลมที่สุดคนหนึ่งเท่าที่สังคมไทยเคยมีมา ตลอดชีวิตของท่านมีแต่ความอ่อนน้อมถ่อมตนกับชาวบ้าน อยู่เคียงข้างกับคนยากคนจน แต่แข็งกร้าวกับเผด็จการทุกรูปแบบ ใช้งานเขียนเป็นอาวุธที่คอยทิ่มแทงความอยุติธรรมทั้งปวง ใช้ตัวอักษรเป็นประทีปส่องแสงให้กับผู้คนในสังคมยามสิ้นหวัง ไม่เคยละทิ้งอุดมการณ์และหลักการเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศจนลมหายใจสุดท้าย

 อีกนานทีเดียว ที่เราจะได้เห็นบุคคลเช่นนี้

กราบอาจารย์ครับ

Leave a comment