ร.ศ.112 ที่ไม่ใช่ ม. 112

วันชัย  ตันติวิทยาพิทักษ์

              ทุกวันนี้ตัวเลข 112 เป็นที่รู้จักกันดีอย่างกว้างขวางในสังคมไทย  ในฐานะเป็นมาตราหนึ่งของประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ที่เรียกว่า ม.112 ซึ่งน่าจะเป็นกฎหมายที่คนไทยรู้จักมากกว่ากฎหมายอื่นใด

              และเป็นสาเหตุสำคัญทำให้พรรคก้าวไกล พรรคแกนนำอันดับหนึ่งไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

              แต่คนจำนวนมากยังไม่รู้ว่า ตัวเลข 112 ยังเป็นปีสำคัญในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเอกราชของสยามในอดีต ยุคที่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกแผ่ขยายอิทธิพลมาล่าอาณานิคมในแถบประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เหตุการณ์เกิดขึ้นในปี ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436)  ที่เรียกกันว่าวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 หรือ สงครามฝรั่งเศส-สยาม เกิดการสู้รบระหว่างสองประเทศบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา อันเป็นความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3 และราชอาณาจักรสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5

              ปีนี้ (พ.ศ.2566)เป็นปีครบรอบ 130 ปีของวิกฤติการณ์สำคัญ ร.ศ. 112

              เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนมีโอกาสไปเยี่ยมชมป้อมพระจุลจอมเกล้า บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตำบลแหลมฟ้าฝ่า จังหวัดสมุทรปราการ สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นป้อมปราการสำคัญในการปกป้องผู้รุกรานจากท้องทะเล โดยมีอาวุธสำคัญประจำป้อม คือปืนใหญ่จำนวน 7 กระบอก ที่ตั้งอยู่บนป้อม หันออกมาทางแม่น้ำ และได้ฉายาว่า ปืนเสือหมอบ เนื่องจากเวลายิงต้องใช้แรงดันน้ำยกปืนใหญ่ขึ้นจากปากหลุม พอยิงเสร็จก็จะลดระดับลงมาในหลุมตามเดิม เพื่อความปลอดภัย

              ทุกวันนี้ป้อมพระจุลฯได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี โดยเฉพาะปืนเสือหมอบ หลักฐานทางประวัติศาสตร์สำคัญที่ครั้งหนึ่งเคยลั่นกระสุนออกไปสู้รบกับเรือรบฝรั่งเศสหลังจากป้อมสร้างเสร็จได้แค่สามเดือน

              ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคสมัยที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกต่างพากันออกล่าประเทศอาณานิคมทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปเอเชียที่มหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสได้พยายามแผ่อิทธิพลมาตลอด เพื่อการแสวงหาวัตถุดิบ ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญและการเป็นตลาดระบายสินค้าที่ชาติตะวันตกผลิตได้มากขึ้น หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในยุโรป มีการประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำ และเครื่องจักรทางอุตสาหกรรมหลายชนิด ทำให้การผลิตสินค้าจำนวนมากมีความสะดวกสบายขึ้น

              ในเวลานั้น ดินแดนที่ล้อมรอบสยาม ล้วนตกเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจทั้งสิ้น  พม่า มลายูตกเป็นของอังกฤษ  ขณะที่เวียดนาม เขมร ลาว ตกเป็นของฝรั่งเศส

              ลาวในเวลานั้นก็ยังเป็นพื้นที่ความขัดแย้งระหว่างสยามกับฝรั่งเศสมาหลายปีแล้ว

              จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2435 รัฐสภาฝรั่งเศสมีมติเห็นชอบให้ใช้กำลังจัดการกับสยามประเทศ หากรัฐบาลสยามไม่ยอมรับสิทธิของฝรั่งเศสเหนือดินแดนลาวที่เคยเป็นของเวียดนาม

              สรุปสั้น ๆ คือ ในเวลานั้น ลาวเคยเป็นประเทศราชของเวียดนามมาก่อน และเมื่อฝรั่งเศสยึดเวียดนามเป็นอาณานิคมได้สำเร็จ ดังนั้น ดินแดนของเวียดนามในส่วนที่ยึดครองลาวทั้งหมด(หรือดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง) ก็ต้องตกเป็นของฝรั่งเศสด้วย แต่รัฐบาลสยามไม่ยินยอมในข้ออ้างนี้  เพราะยังไม่ได้ปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน และยังตกลงกับฝรั่งเศสที่มีอำนาจเหนือดินแดนแห่งนี้ไม่ได้

              10 กรกฎาคม 2436 ทางการฝรั่งเศสแจ้งว่า จะส่งเรือรบสองลำเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยามาจอดบริเวณหน้าสถานทูตฝรั่งเศส ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่รัฐบาลสยามตอบปฏิเสธไป เพราะถือว่าเป็นการคุกคามอธิปไตยของสยามชัดเจน

              ก่อนหน้านั้นรายงานลับจากสถานทูตฝรั่งเศสในสยามได้แจ้งข้อมูลให้กับรัฐบาลฝรั่งเศสว่า

“สยามยังไม่มีกองทัพประจำการที่ทันสมัย และมียุทโธปกรณ์อยู่อย่างจำกัด อีกทั้งการคมนาคมขนส่งก็เพิ่งพัฒนาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เกือบมีถนนหรือทางรถไฟเชื่อมกับหัวเมืองก็เพียงสายโทรเลข ที่เชื่อมกับหัวเมืองสำคัญกองทัพสยาม

จึงไม่มีความพร้อมที่จะเผชิญหน้าทางทหารกับกองทัพฝรั่งเศสที่ทันสมัย แต่สำหรับฝรั่งเศส ช่วงเวลานี้คือโอกาสที่จะต้องหยิบฉวยไว้เพื่อสกัดกั้นการขยายอิทธิพลของสยามและอังกฤษให้ไกลที่สุดจากเวียดนาม”

              ฝ่ายสยามมีการเตรียมตัวป้องกันเต็มที่โดยให้ป้อมพระจุลจอมเกล้าและป้อมผีเสื้อสมุทรเป็นปราการสำคัญในการป้องกันศัตรูจากภายนอก ร่วมกับเรือรบขนาดเล็ก และมีการวางทุ่น กับดัก เครื่องกีดขวางต่าง ๆ ที่ปากน้ำเจ้าพระยา  ในขณะเดียวกันทางสยามก็ส่งหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลฝรั่งเศส เมื่อมั่นใจว่าเรือรบฝรั่งเศสสองลำกำลังเดินทางออกจากท่าเรือในเมืองไซง่อน ของเวียดนาม

วันที่ 13 กรกฎาคม 2436  เรือรบฝรั่งเศสสองลำที่ทันสมัยที่สุดในเวลานั้น พร้อมเรือนำร่อง ได้ออกมาจากท่าเรือเวียดนาม แล่นเข้าสู่ปากน้ำเจ้าพระยา

ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนั้น มีความพยายามทางการทูตจนกระทั่ง วันที่ 13 กรกฎาคม 2436 ม.เดอแวลล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ฝรั่งเศส) ได้มีโทรเลขถึง โอกุสต์ ปาวี ราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเทพ ฯ ถึงเรื่องที่กองทัพสยามได้วางลูกตอร์ปิโดไว้ในร่องน้ำ ให้แจ้งแก่กองเรือฝรั่งเศสทราบว่า รัฐบาลฝรั่งเศสตกลงจะยับยั้งไม่ให้เรือลำใดข้ามสันดอนเข้าไปก่อนเวลานี้ แต่ยังมิได้ดำเนินการทางการทูตเพื่อยับยั้งความขัดแย้ง ได้เกิดการปะทะกันบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเสียก่อน และตอนเย็นถึงค่ำการสู้รบยิ่งทวีความรุนแรงท่ามกลางที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เมื่อเรือรบฝรั่งเศส 2 ลำ และเรือนำร่องก็แล่นเข้ามาในปากน้ำเจ้าพระยา

              พลเรือโท พระยาชลยุทธโยธินทร์ ชาวเดนมาร์ก รองผู้บัญชาการการรบของสยามในวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 และเป็นผู้ออกแบบป้อมพระจุลจอมเกล้า ได้บันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นว่า

“ขณะนี้เวลาคือ 17.45 น.และฟ้าเริ่มมืดเมื่อเราเห็นเรือฝรั่งเศสสามลำออกมาจากกลุ่มฝนที่หนาแน่น และแล่นมาด้วยความเร็วเต็มที่โดยกระแสน้ำที่พัดเข้ามาอย่างแรงยิ่งเร่งความเร็วมากขึ้น…เรือสองลำเป็นเรือรบทาสีขาวขนาดใหญ่ชื่อ “แองกองสตองค์” (Inconstant) และ “โคเมตต์” (Comete) และทั้งสองลำมีอาวุธหนัก ติดตั้งปืนใหญ่ทั้งบนดาดฟ้า…ข้าพเจ้าออกคำสั่งให้นำกระสุนปืนใหญ่สองกระบอกซึ่งติดตั้งแล้วเสร็จพอจะยิงได้  กัปตันวอน ฮอล์คถามว่าเราควรใช้กระสุนจริงหรือไม่ เพราะนี่หมายถึงสงคราม ข้าพเจ้าตอบว่า เราควรจะยิงด้วยกระสุนจริง แล้วอะไรจะเกิดต้องเกิด…

เกือบหกโมงเย็นและเริ่มมืดแล้ว เรายิงเตือนสามนัดตามกฎการปะทะในสงคราม ฝ่ายฝรั่งเศสยังคงแล่นเรือเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อนัดที่สี่ถูกยิงออกจากป้อม แล้วกระสุนที่ตกลงน้ำนั้นเฉียดไปทางหัวเรือของเรือลำแรก ก็มีการชักธงฝรั่งเศสขึ้นมาบนเสากระโดงเรือทุกลำและก็เริ่มยิงบินใหญ่ใส่เรา ทั้งลูกปืนใหญ่ ทั้งกระสุนเป็นห่าส่งเสียงหวิดหวิวรอบตัวเรา

จากนั้นเรายิงให้เร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ไปที่เรือรบฝรั่งเศสที่แทบจะมองไม่เห็นเลยเนื่องจากเริ่มมืดแล้ว และเรือโดนปกคลุมไปด้วยควันจากดินปืนที่ยิงออกมามาจากเรือและควันจากไอเสียของเรือ และท่ามกลางความมืดยามพลบค่ำที่โรยตัวลงมา เราจะยิงตอบโต้ได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นแสงไฟที่วาบขึ้นมาจากปากกระบอกปืนใหญ่ของฝรั่งเศสที่ยิงออกมา”

ผลของสงครามครั้งนั้น ทหารฝรั่งเศสเสียชีวิต 3 นาย บาดเจ็บ 3 นาย ฝ่ายไทยเสียชีวิต 8 นาย บาดเจ็บ 40 นาย และเรือรบถูกกระสุนปืนได้รับความเสียหาย 4 ลำ แต่แม้เรือนำร่องของฝรั่งเศสเสียหายท้องเรือทะลุ ต้องแล่นไปเกยตื้น แต่เรือรบใหญ่สองลำก็สามารถแล่นเข้ามาจอดที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส สมทบกับเรือปืน “รูแตง” ที่มาจอดเทียบท่าอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว เพื่อเป็นการกดดันให้รัฐบาลสยามยอมตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลฝรั่งเศส โดยยื่นคำขาดที่สำคัญคือ

 ยอมเสียดินแดนทั่วไปทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง (ลาวทั้งหมด) เป็นพื้นที่ประมาณ 143,000 ตารางกิโลเมตรให้กับฝรั่งเศส 

ชดใช้ค่าปรับ 3 ล้านฟรังก์ให้กับฝรั่งเศสเพื่อชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ และเป็นเงินค่าทำขวัญ

 ฝรั่งเศสจะยึดเมืองจันทบุรีไว้ในอารักขานานกว่าสิบปี (ระหว่างปี 2436-2447) จนกว่าสยามจะชดใช้ค่าเสียหายจนครบ

นอกจากนั้นขณะที่การเจรจาต่อรองยังไม่จบสิ้น ฝรั่งเศสเพิ่มความกดดันด้วยการส่งเรือรบมาจอดคุมเชิงปากแม่น้ำเพิ่ม และได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งขึ้นยึดเกาะสีชัง แล้วออกประกาศปิดอ่าวสยามเป็นเวลา 12 วัน สั่งการให้บรรดาเรือต่างชาติให้ออกจากบริเวณนี้ภายในสามวัน มิฉะนั้นจะไม่รับประกันความปลอดภัย

ฝรั่งเศสระดมแสนยานุภาพทางทะเลครั้งใหญ่เพื่อปิดอ่าว โดยใช้เรือรบ 12 ลำ รวมถึงเรือรบหุ้มเกราะขนาดใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส ลูกเรือ 4,000 คน และปืนใหญ่ทุกขนาด 160 กระบอก กดดันให้สยามแทบจะไม่มีโอกาสต้านทานอำนาจของมหาอำนาจทางทะเลได้เลย

ในที่สุดรัฐบาลสยามไม่มีทางเลือก  แม้ตอนแรกยังคิดว่าอังกฤษจะเข้ามาแทรกแซงหรือมาช่วยเจรจาในฐานะมหาอำนาจและคู่แข่งสำคัญของฝรั่งเศส แต่ไม่มีสัญญาณใด ๆ เกิดขึ้น สยามจึงต้องยอมทำตามข้อเรียกร้องทั้งหมดเพื่อยอมแลกกับอธิปไตยของชาติ ในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านตกเป็นเมืองขึ้นของชาติมหาอำนาจหมดสิ้น

หลังจากเหตุการณ์ ร.ศ.112 ไม่นาน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความจำเป็นในการสร้างนายทหารเรือให้มีความรู้ในการป้องกันประเทศทางทะเล จึงได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์  หรือ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ในเวลาต่อมา ไปศึกษาที่โรงเรียนนายเรืออังกฤษ และพระองค์มีส่วนสำคัญในการสร้างกองทัพเรือสยามให้ทันสมัยขึ้น จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “องค์บิดาแห่งทหารเรือไทย”

และในช่วงเวลานั้นสยามยังโดนฝรั่งเศสถือโอกาสบุกยึดจังหวัดตราด  ทำให้กรมหลวงชุมพรฯ ทรงบัญชาให้ลูกศิษย์ของพระองค์สักหน้าอกไว้เป็นคำว่า “ร.ศ.112 ตราด”

Leave a comment