
เมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน ผู้เขียนเคยมีประสบการณ์เช่ารถขับไปตามท้องถนนในประเทศออสเตรเลีย
ผ่านป่า ผ่านอุทยาน เขตเมือง เขตชนบท ตลอดระยะทางจะเห็นสองข้างทางมีป้ายจำกัดความเร็ว แตกต่างกันตามสภาพภูมิประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเข้าไปในสถานที่ชุมชน หมู่บ้าน โรงเรียน โรงพยาบาลจะเห็นป้ายบอกความเร็วปักอยู่ข้างถนนถี่มาก
จาก 60 ค่อย ๆเหลือ 40 30 กม.ต่อชม. และสังเกตว่า รถทุกคันจะชะลอความเร็ว ไม่มีคันใดขับแซงขึ้นมา
คนขับรถส่วนใหญ่เคารพป้ายบอกความเร็วอย่างเคร่งครัด จนดูเหมือนเป็นเรื่องปกติของคนขับรถที่นั่น ขณะที่เมืองไทย
ป้ายบอกความเร็วไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีไว้เพื่อท้าทายความเร็วมากกว่า
เพื่อนชาวออสซี่บอกว่า หากขับรถใช้ความเร็วเกินกำหนด ค่าปรับแพงมากคิดเป็นเงินไทยประมาณ 4,000- 24,000 บาท และโดนตัดแต้ม ผิดหลายครั้งอาจโดนยึดใบขับขี่ ทำให้คนออสซี่ไม่เสี่ยงทำผิดกฎหมาย
ยิ่งหากไม่ยอมหยุดรถให้คนข้ามถนนบนทางม้าลาย ค่าปรับและบทลงโทษจะสูงขึ้นอีกหลายเท่า
“คนขับรถมักแก้ตัวว่า ตัวเองต้องรีบ ๆไปให้ถึงที่ แต่ลืมนึกไปว่า คนเดินถนนก็รีบ ๆไปเหมือนกัน” เพื่อนออสซี่ให้ข้อคิด
ผู้เขียนเคยข้ามถนนในหลายประเทศ อาทิแคนาดา ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา หลายประเทศในยุโรป เกือบทุกครั้ง
เพียงแค่เรามายืนอยู่ริมถนน ตรงทางม้าลาย ยังไม่ทันจะข้ามถนน รถก็ชะลอมาแต่ไกล หยุด รอให้คนเดินข้ามทางม้าลายอย่างใจเย็น
ทางม้าลายถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934 รูปลักษณ์ของมันก็ไม่ค่อยแตกต่างจากปัจจุบันนี้เท่าไหร่ คือ เป็นเส้นตรงสลับช่องในแนวขวาง เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ให้ผู้คนใช้เป็นจุดข้ามถนน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การหยุดรถให้คนข้ามถนนบนทางม้าลายเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของหลายประเทศ
แต่ดูเหมือนแทบจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์บนทางม้าลายของประเทศเรา
เวลาข้ามถนนบนทางม้าลาย ผู้เขียนรู้สึกได้ว่า ในสายตาของคนขับรถส่วนใหญ่ ทางม้าลายเป็นส่วนเกินบนท้องถนน
ไม่จำเป็นต้องหยุดรถให้ และคนข้ามถนนคือสิ่งมีชีวิตที่สร้างความหงุดหงิดให้กับคนขับรถ บางคนเห็นคนกำลังจะข้ามถนน ถึงกับบีบแตรตวาดไล่ให้ผู้คนอย่าลงมาบนนถนนเด็ดขาด
ราวกับว่า พื้นที่บนท้องถนนเป็นสิทธิของรถยนต์เท่านั้น คนเดินไม่มีสิทธิ์ จนกว่าคนขับรถจะอนุญาต
คนขับรถหลายคนอาจจะคิดว่า การที่พวกเขาหยุดรถให้คนข้ามทางม้าลาย เป็นเพราะพวกเขาใจดีอนุญาต จนลืมไปว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องหยุดรถให้คนข้ามถนนตรงทางม้าลาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ระบุว่า
“ช่องข้ามทางหรือทางม้าลาย คนเดินเท้าที่กำลังเดินข้ามถนนในทางม้าลายมีสิทธิไปก่อนรถ เพราะตามกฎหมายต้องหยุดให้คนข้ามถนนในทางข้ามทาง…”
หลายครั้งที่ผู้เขียนเห็นคนข้ามถนนบนทางม้าลาย ไม่ใช่แค่ยืนรอให้รถหยุด แต่ยังโค้งแล้วโค้งอีก รถบนถนนก็หาสนใจไม่ ยังใช้ความเร็วปกติ ไม่มีการชะลอหรือหยุดรถแต่อย่างใด
ครั้งหนึ่งผู้เขียนหยุดรถให้คนกำลังข้ามทางม้าลาย รถที่ขับตามหลังมาบีบแตรไล่ด้วยความไม่พอใจ
หากลองเอากล้องวงจรปิดไปตั้งถ่ายตรงทางข้ามม้าลายสักแห่ง จะเห็นว่ารถที่หยุดให้คนข้ามกับรถที่ไม่หยุดมีสัดส่วนที่น่าตกใจมาก เพราะส่วนใหญ่คงไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย
นักท่องเที่ยวต่างชาติประสบอุบัติเหตุโดนรถชนตายตรงทางม้าลายหลายครั้ง เพราะไม่ทราบว่า ประเทศนี้ไม่ได้รถไม่ได้หยุดตรงทางม้าลาย และการข้ามถนนตรงทางม้าลาย อาจเสี่ยงชีวิตมากกว่าตายเพราะโรคโควิดเสียอีก
ทำไมคนชาติอื่นถึงหยุดรถให้คนข้ามถนนจนเป็นเรื่องปกติ ขณะที่คนบ้านเราการหยุดรถบนทางม้าลายเป็นเรื่องไม่ปกติ
แน่นอนว่า อันดับแรกคือโทษปรับของหลายประเทศรุนแรงมาก แค่ไม่หยุดรถให้คนข้ามถนน ก็โดนค่าปรับไปหลายพันบาท ใบสั่งจากกล้องวงจรปิดมาถึงบ้านทันที มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง แต่หากเกิดอุบัติเหตุรถชน อันนั้นไม่ต้องพูดถึงบทลงโทษว่าจะหนักหนาเพียงใด
เพื่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
“ถ้าอยู่อเมริกแค่คนเดินลงมาถนนถึงไม่ใช่ทางม้าลาย รถที่ผ่านมาเห็นแล้วไม่หยุด ตำรวจเห็นก็โดนตั๋วแล้ว”
ในขณะที่การจัดการจราจรบ้านเราอาจจะเห็นใบสั่งจากกล้องวงจรปิดตามท้องถนน ข้อหา ขับรถไม่หยุดตรงไฟแดง ขับรถผิดเลน ขับรถเร็วเกินกำหนด
แต่ผู้เขียนยังไม่เคยได้ยินข่าว คนขับรถโดนใบสั่งด้วยข้อหาไม่หยุดรถตรงทางม้าลายให้คนข้ามถนน
มันสะท้อนอะไรในประเทศนี้
หรือเป็นเพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา การจัดการจราจรบ้านเรา ให้ความสำคัญกับรถยนต์ ปัญหาการจราจรติดขัดมากกว่าความปลอดภัยของคนเดินถนน ผู้รักษากฎหมายก็ไม่ใส่ใจต่อคนที่ละเมิดกฎหมาย ไม่หยุดให้คนข้ามถนนบนทางม้าลาย แถมบางครั้งก็เป็นผู้ละเมิดเสียเอง จนเกิดอุบัติเหตุตำรวจขับรถชนคุณหมอขณะกำลังข้ามทางม้าลายเสียชีวิต เป็นข่าวใหญ่
แม้ว่าสถิติที่ผ่านมา มีคนโดนรถชนตายบนทางม้าลายในประเทศเฉลี่ยถึงปีละ 500 คน
ถนนหลายสายในเมืองใหญ่บางช่วง แทบจะไม่มีทางม้าลาย คือไม่อนุญาตให้คนข้ามถนน แต่ไล่ให้ไปเดินขึ้นสะพานลอยอันสูงชัน โดยไม่แคร์ว่า หากเป็นคนชรา คนป่วยจะเดินขึ้นบันไดไหวหรือไม่
แต่หากรถยนต์ต้องเสียเวลาติดไฟแดงตรงทางแยก ทางการก็ใจดีสร้างสะพานลอยหรืออุโมงค์ลอดถนนให้รถใช้ความเร็วได้มากขึ้น ยิ่งใช้ความเร็วได้มาก อุบัติเหตุชนคนบนท้องถนนก็เกิดได้บ่อย
แต่เราแทบจะไม่เห็นอุโมงค์ลอดถนนให้คนเดินได้สะดวก มากกว่าการสร้างสะพานลอย
สิทธิของคนเดินจึงน้อยนิดเหลือเกินบนท้องถนน เพราะแม้จะเห็นคนขับรถไม่จอดตรงทางม้าลาย กฎหมายก็ไม่บังคับใช้อย่างจริงจัง จนต้องรอให้เกิดอุบัติเหตุ มีคนตาย เป็นข่าวดังเสียก่อน แต่พอเรื่องเงียบหายไป ทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเดิม
สิทธิของคนเดินถนนจึงเป็นตัวอย่างสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมได้เป็นอย่างดี คนขับรถหรูติดแอร์เย็นสบาย ไปถึงโชเฟอร์รถเมล์ หากขึ้นหลังพวงมาลัยแล้ว คิดว่ามีสิทธิ์มากกว่าคนเดินถนนในการใช้พื้นที่ถนนอันกว้างขวาง
ยิ่งหากเป็นพวกรถนำขบวน รถวีไอพี ขับฝาไฟแดงผ่านตลอดด้วยความเร็ว คนเดินถนนหน้าไหนจะกล้าเดินข้ามทางม้าลาย
จะทำอย่างไรให้คนไทยรู้สึกว่า สิทธิการใช้ถนน ไม่ใช่มีแต่รถยนต์อย่างเดียว แต่คนเดินถนนก็มีสิทธิใช้ถนนด้วยเช่นกัน
จะทำอย่างไรให้คนขับรถเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า ถนนไม่ใช่พื้นที่ของรถยนต์อย่างเดียว แต่คนเดินก็มิสิทธิ์ด้วย และใช้น้อยมากๆ ส่วนใหญ่แค่เดินริมถนนหรือการข้ามถนนเท่านั้น
หากเราได้รัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับความเหลื่อมล้ำ อาจจะต้องเริ่มต้นด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง บทลงโทษอันรุนแรง ก่อนจะทำให้คนขับรถมีสำนึกใหม่ว่า ถนนไม่ใช่ของรถยนต์อย่างเดียว คนเดินก็มีสิทธิ์ใช้ถนนด้วย
บางที ปรากฎการณ์คนขับรถหยุดตรงทางม้าลายให้คนข้ามถนน อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้คนเข้าใจดีว่า ความเหลื่อมล้ำในสังคมคืออะไร