
หากใครมีโอกาสแวะไปตามอุทยานต่าง ๆ จะพบว่า มีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ปาลดน้อยลงผิดสังเกต
จุดตรวจ จุดเฝ้าระวัง หรือหน่วยพิทักษ์ป่าในพื้นที่หลายแห่ง ก็ปราศจากเจ้าหน้าที่คอยดูแล
เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างชั่วคราวของกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพันธุ์พืช เป็นกำลังสำคัญทำหน้าที่เฝ้าป่า ปกป้องผืนป่าแทนคนทั้งประเทศ
คนเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเดือนละ 15-20 วัน เพื่อดูแลปกป้องทรัพยากรธรรมชาติด้วยวิธีการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol) ที่ต้องใช้บุคลากรในการเดินลาดตระเวนป้องปรามผู้กระทำผิดจากการตัดไม้หรือลักลอบล่าสัตว์ป่า พร้อมเก็บข้อมูลเชิงนิเวศ เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ การขาดบุคลากรเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ผืนป่า และสัตว์ป่าของประเทศ
หลายปีที่ผ่านมาในอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่ง มีจำนวนประชากรสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นมาก อันเป็นผลมาจากการทำงานอย่างหนักของพนักงานพิทักษ์ป่า อาทิ จากการสำรวจวิจัยเสือโคร่งในประเทศไทย พบเสือโคร่งในป่าธรรมชาติ 130 – 160 ตัว
และหากประเมินเฉพาะในพื้นที่กลุ่มป่าตะวันตกเป็นป่าอนุรักษ์ที่มีความต่อเนื่องขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ พื้นที่รวม 11.7 ล้านไร่ หรือ 18,727 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 6 แห่ง และอุทยานแห่งชาติ 11 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัด คือ ตาก กำแพงเพชร นครสวรรค์ อุทัยธานี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี พบว่าในระยะเวลา 10 ปี ประชากรเสือโคร่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจาก 42 ตัว เป็น 79 ตัว ถือว่าเป็นแหล่งสำคัญของโลกที่มีการอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่ในธรรมชาติ และได้รับคำชื่นชมจากหน่วยงานต่างประเทศที่ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์เสือโคร่งที่หลายประเทศสูญพันธุ์ไปแล้ว
แต่พอเริ่มต้นปีใหม่ เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจำนวนมากกำลังถูกปลดหรือถูกลดเงินเดือนลงจำนวนมาก
นายดำรัส โพธิ์ประสิทธิ์ ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้สัมภาษณ์กับไทยพีบีเอสออนไลน์ว่า
“ ภาพรวมปีงบประมาณ 2565 กรมอุทยานฯ ถูกปรับลดงบภาพรวมลงไปเฉลี่ย 900 ล้านบาท ซึ่งในช่วงย้อนหลัง 5 ปีมีการปรับลดงบลงมาต่อเนื่อง และมีการปรับลดงบมาต่อเนื่อง ปรับลดมาทุกปี แต่หนักสุดคือปี 2565 …จากปัญหาดังกล่าว กรมอุทยานฯ ให้นโยบายแต่ละอุทยานฯ ไปพิจารณา 2 ทางเลือกคือปรับคนออก และปรับลดเงินเดือนลง ซึ่งจากการไปตรวจเยี่ยมยอมรับว่าสะเทือนใจพอสมควร”
ในปี 2565 อัตราจ้างเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจากเดิม 5,163 ลดลงเหลือ 3,432 คน หายไป 1,731 คนคิดเป็นอัตรา 33 % เพราะไม่มีเงินจ้าง
ส่วนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ทางกรมอุทยานฯจ้างต่อก็มีการปรับลดเงินเดือนจากเฉลี่ย 9,000 บาท เหลือเพียงเดือนละ 7,500 บาท ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบถึงครอบครัวแล้ว ยังส่งผลต่อขวัญและกำลังใจในการทำงานที่หนักและเสี่ยงอันตราย
สมชาย ขันธารักษ์ เจ้าหน้าที่พิทักษ์แห่งเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้งเล่าว่า
“ มีกำหนดว่า 1 ชุด ลาดตระเวนต้องมีอย่างน้อย 5 คน เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องออกลาดตระเวนทุกรอบ เฉลี่ยเดือนนึงก็ 15-20 วัน เมื่อก่อนยังได้สลับกันพัก สลับกันเฝ้าหน่วย ไม่ได้ออกเดินทุกรอบอย่างนี้ พอคนขาด ก็อาศัยไปยืมคนหน่วยอื่นมา พอถึงเวลาเราก็ต้องไปเดินช่วยคืนตามที่ยืมมาด้วย เหนื่อยเหมือนกัน แต่เราก็ต้องยึดเอางานลาดตระเวนเป็นหลัก อย่างงานอื่น เช่น ซ่อมทาง หรืออะไร ก็ต้องปล่อยไปก่อน”
ด้านผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ยอมรับว่า หลังจากมีการปรับลดกำลังคนไปแล้ว เป็นห่วงพื้นที่การลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ป่ามากขึ้น ซึ่งหลังจากนี้เตรียมติดตามว่าจะส่งผลกับคดีป่าไม้ สัตว์ป่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ แต่ได้กำชับให้สแกนพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติในภาคเหนือ ภาคอีสาน และโซนป่าตะวันตก
น่าสนใจว่า งบของหน่วยงานกรม กองที่เกี่ยวข้องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี
ในภาพรวม งบประมาณแผ่นดินด้านสิ่งแวดล้อมประจำปี 2565 ถูกหั่นลดลงจาก 16,143 ล้านบาทในปี 2564 เหลือ 8,534 ล้านบาท หรือลดลงกว่า 47% นับว่าต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ดูเหมือนว่า งบประมาณด้านการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้คน และสิ่งแวดล้อมไม่ว่าน้ำเน่า หมอกควันพิษ อากาศเสีย การล่าสัตว์ ตัดไม้ทำลายป่า การแก้ไขปัญหาโลกร้อน จะถูกตัดออกมากที่สุด ขณะที่งบประมาณทหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับแต่การรัฐประหารในปีพ.ศ. 2557
รัฐบาลมีเงินจับจ่ายใช้สอยซื้ออาวุธสงครามเป็นว่าเล่นหลายหมื่นล้านบาท ขณะที่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ทำงานหนักปกป้องป่าแทนพวกเราทุกวัน กลับถูกให้ออกจากงาน หรือไม่ก็รับเงินเดือนต่ำกว่าค่าแรงรายวันเกือบเท่าตัว
ทำให้นึกถึงคำพูดของนายกรัฐมนตรี
“ผมขอย้ำว่าเราทุกคนไม่มี ‘แผนสอง’ ในเรื่องของการรักษาเยียวยาสภาพภูมิอากาศ เพราะเราจะไม่มี ‘โลกที่สอง’ ซึ่งเป็นบ้านของพวกเราเหมือนโลกนี้อีกแล้ว”
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวไว้สุนทรพจน์กลางที่ประชุม COP26 เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นการยืนยันว่าประเทศไทยให้ความสำคัญสูงสุดกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือปัญหาโลกร้อน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการตัดไม้ทำลายป่า
เพราะคำพูดอันสวยหรูกับการกระทำ มักสวนทางกันเสมอ
