อดีตของมาบตาพุดคืออนาคตของจะนะ

พลันเมื่อฝ่ายรัฐบาลได้สั่งสลายการชุมนุมชาวบ้านที่มาทวงสัญญานิคมอุตสาหกรรมจะนะ จังหวัดสงขลา เรื่องราวการต่อสู้ของชาวบ้านก็กลับมาอยู่ในความสนใจของประชาชนทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่งทันที

ในปี 2559 รัฐบาลคสช. ได้อนุมัติ อนุมัติโครงการเมืองต้นแบบสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยมอบอำนาจให้ ศอ.บต. เป็นผู้ดำเนินการ อันเป็นต้นกำเนิดของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้  บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลของอำเภอจะนะ จำนวน 16,753 ไร่  รองรับอุตสาหกรรมหนักและผลิตไฟฟ้า 

เช่นเดียวกับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดในอดีตที่ผ่านมา คือไม่ได้ลงไปพูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ก่อนว่าคิดเห็นอย่างไร

แต่ใช้อำนาจจากส่วนกลางสั่งการลงมา

เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ผู้เขียนมีโอกาสไปเดินเลียบริมทะเลในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ด้านหน้าเป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่บนพื้นที่ที่ยื่นออกไปจากการถมทะเล ทำให้หาดทรายชื่อดังแถวนั้นหายไปจนหมด ได้สนทนากับยามรักษาความปลอดภัยของโรงงานปิโตรเคมีแห่งหนึ่ง แกบอกตามตรงว่า

“หากเลือกได้ผมคงจะลาออกกลับไปอยู่บ้านแถวภาคอีสาน  ผมต้องเดินอยู่ข้างนอกทุกวัน ไม่ได้อยู่ในอาคารติดแอร์ ทนกลิ่นเหม็นไม่ค่อยไหว บางคืนดึก ๆ พรรคพวกก็แอบปล่อยน้ำเสียลงทะเล…วันก่อนโรงงานแห่งหนึ่งเกิดอุบัติเหตุตอนเดินเครื่อง เสียงดังลั่น นึกว่าเครื่องจะระเบิดแล้ว….เพื่อนผมคนหนึ่งป่วยเป็นโรคเม็ดเลือดแตกง่าย คนแถวบ้านก็เป็นโรคนี้กันมาก ทุกวันนี้เครียดเพราะกลัวเป็นมะเร็งเหมือนคนอื่น ๆ “

บางทีบทเรียนจากนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศแถวชายฝั่งทะเลตะวันออก อาจจะพอบอกอนาคตของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน รัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  ได้กำหนดให้พื้นที่สามจังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกคือจังหวัดชลบุรี ฉะเชิงเทราและระยอง เป็นศูนย์กลางความเจริญและแหล่งที่ตั้งอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ผลก็คือได้เกิดโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ อิสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ เพื่อดึงดูดนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศ

สาเหตุที่เลือกชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก เพราะใกล้กรุงเทพมหานคร พื้นที่เหมาะสมในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก และการค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งมีการต่อท่อนำมาขึ้นฝั่งบริเวณตำบลมาบตาพุด จังหวัดระยอง

มาบตาพุดเริ่มเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักลงทุนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ตอนนั้นเคยมีนักวิชาการออกมาเตือนรัฐบาลว่า โครงการนี้แม้จะสร้างงานและความเจริญทางเศรษฐกิจให้กับประเทศแต่จะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมตามมาอย่างรุนแรง หากไม่มีมาตรการแก้ไขอย่างจริง

รัฐบาลได้วางแผนให้พื้นที่บริเวณมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นเมืองอุตสาหกรรมทันสมัย เป็นแหล่งที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมปุ๋ยเคมี

แต่ตอนนั้นการตัดสินใจของรัฐบาล ไม่ได้ลงไปพูดคุยหรือทำความเข้าใจกับชาวบ้านหรือชุมชนในท้องถิ่น แม้ว่าในอดีตชาวบ้านจะมีจำนวนไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับการขยายตัวของประชากรในปัจจุบัน

รัฐบาลพูดแต่ด้านดีของการพัฒนาว่า จะมีท่าเรือน้ำลึก มีโรงงาน ทุกคนจะมีรายได้ เศรษฐกิจจะดีขึ้น ดึงดูดให้มาบตาพุดที่เคยเป็นชุมชนเล็ก ๆ กลายเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่น มีผู้คนอพยพเข้ามาทำงานมากขึ้น

ในเวลานั้น ระยองมีโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมด 2,151 แห่ง ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมี

การทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ ที่บรรดาโรงงานอุตสาหกรรมได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำรายงาน  ก็เป็นเพียงเครื่องมือฟอกโรงงานให้ดูขาวสะอาด อ้างว่าการปล่อยมลพิษได้ทำตามมาตรฐานสากล

สิบกว่าปีผ่านไป พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด 20,000 ไร่ ได้สร้างให้คนมีงานทำหลายแสนคน สร้างรายได้ให้กับประเทศ และสร้างผลกำไรให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

หลายปีที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในตลาดหลักทรัพย์มีกำไรก้าวกระโดดกันถ้วนหน้า กลายเป็นอุตสาหกรรมที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในประเทศ

เช่นเดียวกับชาวเมืองมาบตาพุดมีรายได้ดีกว่าผู้คนในละแวกนั้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ในขณะเดียวกัน ชาวมาบตาพุดก็มีรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น โรงพยาบาลมาบตาพุดที่เคยเป็นโรงพยาบาลขนาด 30 เตียง ได้เพิ่มขึ้นเป็น 150 เตียง เพื่อรองรับผู้ป่วยมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยด้วยโรคทางลมหายใจ และผู้ป่วยมะเร็ง

ภาพเด็กนักเรียนที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะสูดดมควันพิษ จนสุดท้ายต้องย้ายโรงเรียนหนีออกไป ยังอยู่ในความทรงจำของหลายคน

ใครที่เคยย่างกรายเข้าไปแถบนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เห็นปล่องควันโผล่ขึ้นมากมาย ก็คงทราบดีว่า สภาพอากาศที่นั่นเหมาะกับการสูดดมเข้าไปหรือไม่  และไม่ต่างจากน้ำทะเลบริเวณนั้นที่เป็นสีน้ำตาลอ่อนตลอดทั้งปี เป็นสิ่งแปลกปลอมในธรรมชาติ  แม้ว่าบรรดาผู้ประกอบอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำจำนวนมหาศาล จะประสานเสียงกันว่า ได้ทำตามมาตรฐานสากล ติดอุปกรณ์อันทันสมัยเพื่อรักษาสภาพแวดล้อม

แต่ความจริงก็คือ มีคนป่วยและล้มตายลงเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ

ความจริงก็คือว่า อากาศ น้ำ ที่คุยนักคุยหนาว่าได้รับการบำบัดอย่างดีแล้ว  มีคุณภาพพอที่จะไม่มีสารก่อมะเร็งในระดับที่อันตรายต่อผู้คนได้จริงหรือเมื่อราวต้นปี 2550 มีข่าวเล็ก ๆทางหน้าหนังสือพิมพ์รายงานว่า ผลการศึกษาสถานการณ์อุบัติใหม่ของโรคมะเร็งในปี 2544-2546 ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า

คนระยองป่วยเป็นโรคมะเร็งมากที่สุดจังหวัดหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะมะเร็งในปอด งานวิจัยของหน่วยงานรัฐหลายแห่งชี้ตรงกันว่า อัตราการเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวของคนระยองสูงกว่าคนจังหวัดอื่นถึงสองเท่า ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่า โรคร้ายเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับปัญหามลภาวะในมาบตาพุดเพียงใด

ขณะเดียวกันคนระยองยังมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในประเทศ และมีอัตราของเด็กแรกเกิดมีร่างกายผิดปกติสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในรอบสิบปีที่ผ่านมา

หากเป็นคนนอกวิเคราะห์หาสาเหตุ ก็คงนึกว่า สาเหตุของโรคมะเร็งในปอด น่าจะเป็นเพราะคนระยองสูบบุหรี่จัด หรือสาเหตุจากควันพิษในอากาศทั่วไป

แต่หากถามคนระยองที่อยู่ในพื้นที่มานาน คำตอบที่ได้รับก็คือ คนระยองเจ็บป่วยมานานแล้ว ไม่ใช่เฉพาะโรคมะเร็งอย่างเดียว โดยเฉพาะคนที่ทำงานและชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบ นิคมอุตสาหกรรมกรมควบคุมมลพิษได้เคยทำการสำรวจคุณภาพอากาศรอบ ๆ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด พบสารอินทรีย์ระเหย ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งมากกว่า 20 ชนิด ซึ่งเกือบทั้งหมดมีค่าเกินกว่าระดับมาตรฐานของหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา

กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าในตำบลมาบตาพุด พบผู้ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เพิ่มขึ้นร้อยละ 88 โรคผิวหนังและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังเพิ่มขึ้นร้อยละ 57  

ครูและเด็กนักเรียนโรงเรียนมาบตาพุดพันพิทยาคาร ถูกหามส่งโรงพยาบาลนับร้อย ๆ คน เพราะทนสูดกลิ่นเหม็นจากโรงกลั่นน้ำมันที่ตั้งอยู่ใกล้โรงเรียนไม่ไหว  สุดท้ายก็ยอมแพ้ด้วยการย้ายโรงเรียนหนี ขณะที่ชาวบ้านรอบ ๆโรงเรียนต้องยอมทนกลิ่นเหม็น จนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้กันถ้วนหน้า เพราะไม่สามารถย้ายบ้านได้

สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสิบกว่าปีก่อนของสภาพชีวิตของผู้คนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด  แต่ก็พอจะสะท้อนให้เห็นว่า เมื่ออุตสาหกรรมมาเยือนคนในชุมชนอำเภอจะนะ ที่มีอาชีพประมงพื้นบ้านเป็นหลัก  พวกเขาจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง โดยเฉพาะด้านสุขภาพ

น่าแปลกใจตรงที่ รัฐบาลพยายามสอนให้ชาวบ้านใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  ซึ่งอยู่ในวิถีชีวิตของชาวบ้านจะนะมานานแล้ว แต่รัฐบาลกลับจะเอาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มาลง และรู้ทั้งรู้ว่า คนได้ผลประโยชน์เต็ม ๆ คือบรรดานายทุน นักการเมืองนายหน้าขายที่ดิน ขณะที่อาชีพของชาวบ้านจะค่อย ๆหายสาบสูญไป

ติดตามกันต่อไปว่า บทเรียนในอดีตของมาบตาพุด จะกลายเป็นอนาคตของจะนะ หรือไม่

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s