ความเขลาของผู้มีอำนาจ

ตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศต่อจากรัฐบาลเผด็จการ เราไม่เคยทราบเลยว่าหน่วยงานความมั่นคงของรัฐ

อันประกอบด้วยหน่วยงานมากมาย ตั้งแต่สภาความมั่นคงแห่งชาติ กองทัพ ตำรวจ ฯลฯทำงานแบบมีเป้าประสงค์อย่างไร

ทำเพื่อความมั่นคงของชาติ  หรือเพื่อความมั่นคงของรัฐบาลเท่านั้น

ที่ผ่านมา หน่วยงานเหล่านี้ทำงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานมาก  เพราะความมั่นคงของชาติในขณะนี้มีความเสี่ยงสูงมาก แต่ดูเหมือนนับวันหน่วยงานเหล่านี้และรัฐบาลกลับปล่อยให้ความแตกแยกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ความแตกแยกของผู้คนในสังคม ความแตกแยกระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา นับเป็นเรื่องร้ายแรงและมีความเสี่ยงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ภายหลังเหตุการณ์สังหารโหด 6 ตุลาคม 2519

ย้อนประวัติศาสตร์เหตุการณ์ครั้งนั้น ที่มีการสังหารโหดในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ติดตามมาด้วยการทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนและมีการกวาดจับนักศึกษาประชาชนเกือบหมื่นคน ซึ่งฝ่ายขวาสมัยนั้นใช้วิธีอย่างเหี้ยมโหด จนบีบบังคับให้นักศึกษาและประชาชนหลายพันคน หลบหนีเข้าป่า ร่วมมือกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาล จนลุกลามกลายเป็นสงครามกลางเมือง มีการสู้รบกันหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ฯได้กองกำลังเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนคาดการณ์ว่า เวลานั้นพรรคฯ มีทหารปลดแอกหลายพันคนสู้รบกับกองทัพไทยที่มีกำลังประมาณแสนกว่าคน ขณะที่สร้างผลกระทบต่อประชาชนหลายสิบล้านคนที่ต้องอยู่ท่ามกลางสงคราม

ดูเหมือนรัฐบาลขวาจัดสายเหยี่ยวยิ่งส่งกำลังทหารเข้าปราบด้วยอาวุธ ยิ่งทำให้พลพรรคพรรคคอมฯยิ่งแข็งแกร่ง เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ  และประเทศไทยได้เข้าสู่สงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ

จนกระทั่งเมื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์  เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 ซึ่งประกาศชัดเจน ให้ “ยุติสงครามกลางเมืองด้วยการเมืองนำการทหาร”

พลเอกเปรม เป็นอดีตแม่ทัพภาคสอง เป็นนายทหารที่ปฏิบัติหน้าที่สู้รบกับคอมมิวนิสต์มายาวนาน  การใช้กำลังทางทหารอย่างเดียว ไม่อาจแก้ปัญหาได้เลย มีการสู้รบกันทุกวัน ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสีย ซึ่งเป็นคนไทยทั้งนั้น

ในระหว่างนั้นท่านมีทีมงานนายทหารหลักแหลมเป็นสายพิราบ  อาทิ พล.ต.ปฐม เสริมสิน, พ.อ.หาญ ลีนานนท์, พ.อ.เลิศ กนิษฐะนาคะ (ยศในขณะนั้น) ค่อย ๆ ออกแบบยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาสงครามกลางเมือง  คิดว่าหากยังแก้ปัญหาแบบเดิมประเทศไปไม่รอดแน่นอน

พวกเขาทราบดีว่า ชาวบ้านที่เข้าป่า เพราะถูกเจ้าหน้าที่หรือนายทุนข่มเหงรังแก จนทนไม่ไหวต้องเข้าป่าจับอาวุธ

เช่นเดียวกับนักศึกษาสามพันกว่าคนที่เข้าป่า คนเหล่านี้เป็นเด็กรุ่นใหม่ที่เป็นกำลังสำคัญของประเทศ แต่เมื่อพวกเขาไม่มีทางเลือก ต้องจับอาวุธสู้กับรัฐบาล

 และเมื่อพลเอกเปรมเข้าสู่เก้าอี้ผู้นำประเทศได้ไม่นาน  ป๋าเปรมได้นำเอกสารคำสั่ง 66/2523 เข้าสู่ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เปิดโอกาสให้วิจารณ์ได้ ซึ่งที่ประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบว่าเป็นแนวทางที่จะยุติสงครามกลางเมืองได้ แม้จะถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากนายทหารสายเหยี่ยวจำนวนมากในตอนนั้น

คำสั่ง 66/2523 กำหนดนโยบายให้ส่วนราชการต่างๆ นำไปปฏิบัติว่า “ต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ให้เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยการรุกทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ยับยั้งการปฏิบัติเพื่อสร้างสถานการณ์สงครามประชาชาติด้วยนโยบายเป็นกลาง และขยายผลจากโอกาสที่เปิดให้เพื่อเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธมาเป็นการการต่อสู้ในแนวทางสันติ”

สาระสำคัญของคำสั่งนี้ที่น่าสนใจคือ

  •  ต้องเอาชนะอย่างรวดเร็วด้วยการรุกทางการเมือง ทำให้ประชาชนมีส่วนในการเป็นเจ้าของการปกครอง ใช้งานการเมืองเป็นสิ่งชี้ขาด งานการทหารจะต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้บรรลุภารกิจงานการเมืองเป็นสำคัญ
  • ขจัดเหตุแห่งความไม่เป็นธรรมในสังคมทุกระดับตั้งแต่ท้องถิ่นถึงระดับชาติ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตในวงราชการอย่างเฉียบขาด ทำลายการกดขี่ขูดรีดทิ้งสิ้น
  • กำหนดการปฏิบัติให้มีการประสานประโยชน์ระหว่างชนชั้น เสียสละผลประโยชน์ของชนชั้นเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องมีจิตใจที่เป็นธรรม และเข้าใจปัญหาของประชาชนทุกชนชั้น
  • ส่งเสริมประชาชนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพให้สามารถในการปกครองตนเอง ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทุกชนชั้นและสาขาอาชีพได้มีส่วนร่วมทางการเมือง
  • สนับสนุนการจัดตั้งขบวนการประชาธิปไตยทั้งสิ้นที่มีอยู่ โดยคำนึงถึงสิทธิและผลประโยชน์ของกลุ่มชนนั้นๆ อันพึงจะมี
  • ปฏิบัติต่อผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือผู้หลงผิดที่เข้ามอบตัว หรือที่จับได้อย่างเพื่อนประชาชนร่วมชาติ ชี้แจงเพื่อให้ได้เข้าใจถึงนโยบายของรัฐบาลในปัญหานี้อย่างถ่องแท้ช่วยเหลือให้ใช้ชีวิตใหม่ร่วมกันต่อไปในสังคมอย่างเหมาะสม

หลักการเหล่านี้ ต้องยอมรับว่ามีความก้าวหน้ามาก ทำให้สองปีผ่านไป นโยบาย 66/23 ได้ทำให้เกิดสภาพ “ป่าแตก” เกิดสภาพ“ทหารป่าคืนเมือง” มีผู้คนออกจากป่าหลายพันคนมามอบตัวอย่างไม่ผิดกฎหมาย ในนามผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย จนได้ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยต้องประกาศยุติสงครามในที่สุด  ( ไม่นับสาเหตุอื่น อาทิ เกิดความขัดแย้งของแกนนำในพรรคฯ และพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เคยให้ความสนับสนุนได้ลดความช่วยเหลือลงด้วย)

เหตุการณ์ในอดีตเมื่อสี่สิบปีก่อนนั้น แสดงถึงกึ๋นของนายทหารสายพิราบ หน่วยงานความมั่นคงฯ ที่ทำงานแบบมืออาชีพ เมื่อเห็นความแตกแยกของประเทศครั้งใหญ่ พวกเขาสุมหัวกันคิด และกล้านำเสนอยุทธศาสตร์ใหม่ตามแนวทาง “การเมืองนำการทหาร” แม้จะได้รับการต่อต้านอย่างหนักจากบรรดานายพลสายเหยี่ยว

 นายทหารเหล่านี้ล้วนแต่เคยอยู่แนวหน้า ลงพื้นที่เสี่ยงตายท่ามกลางการสู้รบ แต่สุดท้ายพวกเขาทราบดีว่า ยิ่งรบก็ยิ่งพัง และที่สำคัญคือเขาไม่ได้มองพี่น้องประชาชนที่คิดต่างเป็นศัตรู

และในฐานะผู้นำประเทศ ต้องยอมรับว่าป๋าเปรม ไม่ได้คิดจะทำงานแก้ปัญหาเพื่อความมั่นคงของตัวเอง แต่คิดจะแก้ปัญหาความแตกแยกของผู้คนในสังคมอย่างจริงจัง

นายพลสมัยก่อนมีความฉลาดมากพอจะเข้าใจว่า จะแก้ไขปัญหาความมั่นคงของประเทศอย่างไร

แต่พอหันกลับมาดูการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ รวมทั้งบรรดาสว.สส.ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมที่เกิดขึ้น ดูเหมือนพวกเขาคิดถึงความมั่นคงของตัวเองมากกว่าความมั่นคงของประเทศ

ท่าทีต่าง ๆ ของพวกเขา ล้วนไม่เห็นทางออกของความขัดแย้งเลย 

เราไม่เห็นแนวทาง ยุทธศาสตร์หรือเครื่องมือใหม่ ๆ ในการลดเงื่อนไขสงครามกลางเมืองครั้งใหม่เลย

ผู้มีอำนาจไม่เคยสร้างบรรยากาศปรองดองอะไรเลย

แน่นอนว่า พวกเขาอาจจะประเมินว่า ทุกวันนี้ไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่มีป่าให้เด็กรุ่นใหม่เข้าป่าจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาลได้อีกต่อไป

เราไม่รู้หรอกว่า หากความขัดแย้งเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทยในอนาคต

หน่วยงานความมั่นคงต่าง ๆ ก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรให้เห็นแสงสว่าง นอกจากเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปราบปรามผู้คิดต่างว่าคือศัตรู

อย่าลืมว่า เด็กรุ่นใหม่อายุต่ำกว่าสามสิบ มีประชากรเกินร้อยละ 30ของประเทศแล้ว ไม่นับรวมคนรุ่นอื่น ๆ ที่เห็นด้วยกับแนวทางข้อเรียกร้องของเด็ก

จะอยู่ร่วมกันอย่างไรในท่ามกลางความขัดแย้งนี้  จะไล่พวกเขาไปอยู่ไหน

นี่คือปัญหาความมั่นคงอันใหญ่หลวงในเวลานี้ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายที่กุมอำนาจ และกองทัพคงไม่มีคนมีสติปัญญาพอจะหาทางออก นอกจากตอกลิ่มความขัดแย้งขึ้นเรื่อย ๆ

คิดหรือว่าฝ่ายรัฐบาลจะชนะไปตลอด

ทำไมไม่หาทางประนีประนอม ให้ทุกฝ่ายมีพื้นที่ที่อยู่ร่วมกันได้

 หากเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  รับรองว่าไม่มีผู้แพ้ ผู้ชนะ

แต่พวกเขารอเวลาได้ พวกเขารอเอาคืนแน่นอน

One thought on “ความเขลาของผู้มีอำนาจ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s