
สงครามแย่งชิงมวลชน ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ หรือเล่าเรื่องโกหก คือภารกิจสำคัญของผู้มีอำนาจทุกยุคทุกสมัย หากต้องการให้มวลชนอยู่ภายใต้การปกครอง และตัวเองสามารถครองอำนาจไปได้ตลอด
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (ค.ศ. 1889-1945)ผู้นำแห่งพรรคนาซี แม้จะมีกองทัพเยอรมนีอันเกรียงไกร มีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลกในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ก็ยังให้ความสำคัญกับ เพื่อแย่งชิงมวลชนมาเป็นฝ่ายตัวเอง
ฮิตเล่อร์ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ หรือเล่าเรื่องโกหกในฐานะที่ตัวเองเป็นนักพูด นักเล่าเรื่อง นักแสดง ตัวยง จนทำให้มวลชนเยอรมนีที่ได้ชื่อว่า เป็นประชากรมีคุณภาพสูงในโลก มีการศึกษา มีเหตุมีผล สามารถคล้อยตามความคิดและการกระทำของฮิตเล่อร์ได้อย่างน่าสนใจ
โมธี ชไนเดอร์ ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับ ”ประวัติศาสตร์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว” เคยพูดว่า
” อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กลายเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ มันจะกลายเป็นอาชีพหลักของเขาไปตลอดชีวิต เมื่อปราศจากโฆษณาชวนเชื่อแล้ว เขาคงไม่อาจกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงได้”
ฮิตเล่อร์ อดีตนายสิบในกองทัพเยอรมนี ไต่เต้าเข้าสู่อำนาจทางการเมือง โดยมีอาวุธสำคัญคือการเป็นนักพูด เป็นครีเอทีฟคิดคำโฆษณาชวนเชื่อ และนักแสดง เขาใช้เวลาฝึกซ้อมการแสดงหน้ากระจกบ่อย ๆ เพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด ก่อนจะขึ้นเวทีเพื่อพูดปลุกระดมมวลชน
ในหนังสือ “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” ฮิตเล่อร์ได้กล่าวว่า “การใช้โฆษณาชวนเชื่อให้ได้ผลนั้น เป็นศิลปะอย่างแท้จริง”
สมัยฮิตเล่อร์ครองอำนาจ เขาได้มือขวาคู่ใจคนหนึ่ง ต่อมาคือรัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ คือ นายโยเซฟ เกิบเบิลส์ ( ค.ศ.1897-1945) ผู้สามารถสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ในสาขาประวัติศาสตร์วรรณคดี เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลุกระดม การโฆษณาชวนเชื่อ และสร้างข่าวเท็จจำนวนมาก หรือ fake news ในปัจจุบัน และมีลักษณะเด่นคล้ายฮิตเล่อร์ คือ เป็นนักพูดตัวยง และเป็นนักแสดงบนเวที นักเล่าเรื่องผู้ยอดเยี่ยม
พวกเขาได้ร่วมกันสร้างหลักการง่าย ๆ จนเป็นพื้นฐานสำคัญของการทำโฆษณาชวนเชื่อ แพร่หลายทั่วไปจนถึงปัจจุบัน ภายใต้หลักการง่าย ๆ 7 ประการ คือ
ไม่น่าเชื่อว่า หลัก 7 ประการนี้ ทุกวันนี้ยังใช้งานได้ดีมาก
1. การใส่ร้ายป้ายสี โกหกคำโตโจมตีตัวบุคคลเป้าหมาย ด่าคนนั้นออกสื่อไปเรื่อย ๆ ซ้ำ ๆกันหลายรอบ โดยธรรมชาติ ผู้คนชอบฟังเรื่องด้านลบของผู้คน พอฟังหรืออ่านตอนแรกอาจไม่เชื่อ แต่ฟังไปบ่อย ๆ ผู้คนก็เริ่มเชื่อแล้วว่า คนนี้เลวจริง ๆ วิธีการแบบนี้เห็นตัวอย่างได้ง่ายตังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จนเป็นวิธีสร้างความแตกแยกได้ชัดเจนที่สุด
นักการเมืองคนใด ที่ถูกฝ่ายตรงกันข้าม เขียนข่าวเท็จ ออกสื่อทุกวัน มีนักวิจารณ์ หรือพิธีกรข่าวคอยด่าทุกวัน วันละหลายรอบ ซ้ำ ๆกันเป็นเดือน เป็นปี ไม่นานนัก ข่าวเท็จ ข่าวลวงเหล่านั้นก็กลายเป็นข่าวจริงในสายตาของหลายคน
2. พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำข้อความเดิมๆไปเรื่อยๆซ้ำๆ คนฟังและผู้รับสารจะค่อย ๆ ซึมและเชื่อไปเอง ไม่ต่างจากการที่ค่ายเพลง เปิดเพลงที่ตั้งใจจะให้ฮิทติดอันดับทางสถานีวิทยุ เปิดไปเรื่อย ๆ จนคนฟังชินหู เริ่มรู้สึกว่า เพลงเพราะ
3. โกหกคำโตหรือการใช้ Fake News โยเซฟ เกิบเบิลส์ เคยกล่าวว่า
” ยิ่งโกหกคำโตมากเท่าไร โกหกบ่อย ๆ คนจะยิ่งเชื่อมากขึ้น “
“การหลอกประชาชนจำนวนมากด้วยการพูดโกหกเรื่องใหญ่ ๆ ง่ายยิ่งกว่าการโกหกเรื่องเล็ก ๆ “
4. การตั้งฉายา ตั้งฉายาฝ่ายตรงกันข้ามให้มันแย่ หรือกดให้รู้สึกว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป และเมื่อคนทั่วไปไม่รู้สึกว่าเป็นมนุษย์ การปราบปราม การกำจัดก็ง่ายขึ้น มีตัวอย่างมากมายในอดีต อาทิ “พวกยิวคือเชื้อโรคร้าย ต้องกำจัดให้หมด” หรือ “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”
5. แบ่งแยกผู้คนเป็นฝ่ายต่าง ๆ ชัดเจน โลกของนักโฆษณาชวนเชื่อ มักจะแบ่งมวลชนออกเป็นแค่สองฝ่าย เพื่อบีบให้คนตรงกลางต้องเลือกข้าง เป็น พวกเขา พวกเรา หากไม่ใช่พวกนาซี ก็เป็นพวกคอมมิวนิสต์ หรือพวกยิว ในสมัยที่ฮิตเล่อร์กวาดล้าง สังหารโหดชาวยิวหกล้านกว่าคน คนเยอรมันที่เห็นใจชาวยิว ก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกยิว จะโดนทำร้าย จับกุมคุมขัง เพราะฮิตเล่อร์ต้องการสร้างภาพแบ่งกลุ่มคนเป็น คนดี คนเลว คนถูก คนผิด ให้ชัดเจน
แนวคิดนี้กลับมาโด่งดังมาก เมื่อเกิดเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน ค.ศ. 2001 หรือ 9/11 เมื่อโจรจี้เครื่องบินนั้นนำเครื่องบินทั้งสองพุ่งชนตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และทำให้ประธานาธิบดี จอร์จ บุช กล่าวหาว่า ซัดดัม ฮุสเซน อดีตประธานาธิบดีประเทศอิรักอยู่เบื้องหลัง และตัดสินใจบุกอิรัก โดยมีวลีอันโด่งดังว่า หากคุณไม่อยู่ฝ่ายเรา คุณคือผู้ก่อการร้าย
6. ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายอธรรม ฮิตเล่อร์พยายามสร้างภาพว่า ตัวเองเป็นสัตบุรุษเป็นเสมือนพระเยซู ผู้ทรงคุณธรรม มีศีลธรรมอันดีงาม มาช่วยเหลือ ปกป้องชาวเยอรมัน ผู้สืบเผ่าพันธุ์จากพวกอารยัน ชนชาติที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด และ ผู้ร้าย คนชั่วคือ พวกยิว ที่เป็นพ่อค้าขูดรีด เอาเปรียบชาวอารยันมานาน และพวกคอมมิวนิสต์ ที่มีความคิดชั่วร้ายในการปกครองประเทศ แม้กระทั่งก่อนการบุกประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเชคโกสโลวาเกียหรือโปแลนด์ ก็มีการปลุกระดมให้คนเยอรมันเข้าใจผิดว่า ชนชาตเหล่านั้นเป็นคนชั่ว บังอาจข่มเหงรังแกคนเยอรมัน ชนกลุ่มน้อยในประเทศนั้น ๆ ทางรัฐบาลนาซีเลยต้องประกาศสงคราม
ไม่ต่างจากบางประเทศ ที่มักชูธงศีลธรรมอันดีงาม เพื่อกระทืบอีกฝ่ายให้จมดิน
7. การควบคุมสื่อ ภายหลังพรรคนาซีได้รุ่งเรืองอำนาจในปี ค.ศ. 1933 ฮิตเล่อร์ และเกิบเบิลส์ ได้เข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ทั้งหมดในเยอรมัน เพื่อกำหนดข่าวให้อยู่ทิศทางเดียวกัน ไม่รวมถึงวิทยุกระจายเสียงที่อยู่ภายใต้รัฐบาลอยู่แล้ว และพวกเขาได้สร้างนักพูด นักปลุกระดมมวลชนหลายพันคนที่มีฝีปากจัดจ้าน ออกตระเวนไปพูดทั่วประเทศ ส่งเนื้อหา ข้อเท็จจริงเพื่อทำให้ประชาชนชื่นชอบฮิตเล่อร์ พรรคนาซี และความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่น ๆ
สิ่งที่พวกเขาต้องการสื่อสาร ก็จะเป็นข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์ต่อนาซี แม้ว่าจะเป็นข่าวเท็จ หรือ fake news และเป็นผลร้ายต่อฝ่ายตรงกันข้าม และการนำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่เคยเกิดขึ้นในสื่อเลย
พวกเขาเชื่อว่า ภารกิจแรกของการควบคุมสื่อ คือข่าวสารความจริงที่เกิดขึ้นต้องถูกทำให้ตายไปก่อน และสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบเฉพาะข่าวที่พวกเขาต้องการเท่านั้น หรือการปล่อย fake news
การโฆษณาชวนเชื่อจึงเป็นเครื่องมือสำคัญมากในการรักษาอำนาจของฮิตเล่อร์และพลพรรคนาซี เช่นเดียวกับการรักษาอำนาจของผู้นำหลายประเทศในยุคนี้ ที่ใช้วิธีการโษณาชวนเชื่อผ่าน สื่อโซเชียลต่าง ๆ อาทิ ไลน์ ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊ก โดยมีกองทัพไซเบอร์ เหล่า IO ผู้ทำหน้าที่ปั่นกระแส กล่าวหา ป้ายสี ยุยง สร้างข่าวปลอม ในโลกออนไลน์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเกลียดชังให้กับฝ่ายตรงกันข้าม
การรักษาอำนาจกับการโฆษณาชวนเชื่อ และการปล่อย fake news จึงเป็นเสมือนคู่แฝดที่มิอาจพลัดพรากจากกันได้
และทุกวันนี้ในหลายประเทศ กำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด ในนามของ สงครามแย่งชิงมวลชน
