ในช่วงที่ covid-19 ระบาดอย่างหนัก คำว่า social distance หรือ การมีระยะห่าง
น่าจะเป็นพฤติกรรมและคำพูดติดปากคนทั่วโลกไปอีกนาน
จนอาจจะเป็นพฤติกรรมใหม่ ๆของมนุษย์ต่อไปในอนาคต
ประมาณว่า ยืนคุยกัน นั่งคุยกัน กินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกัน
อาจต้องมีระยะห่างเพื่อความปลอดภัย
แต่ในความเป็นจริง เราคุ้นเคยกับระยะห่างในธรรมชาติมานานแล้ว
เพียงแต่ว่าเราไม่ได้สังเกต
ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสเดินป่าเป็นระยะทางไกล ๆ กับเพื่อนหลายคน
สังเกตว่า ตอนแรกๆพวกเราจะเดินด้วยกันไปเงียบ ๆ
สักพักหนึ่งแต่ละคนก็จะเดินทางทิ้งระยะห่างกัน จนไม่ได้เดินใกล้กันอีกต่อไป
เพราะแต่ละคนจะมีจังหวะก้าวเดินแตกต่างกัน มีระยะห่างกันโดยธรรมชาติของมนุษย์
ไม่จำเป็นต้องเดินพร้อมเพรียงกัน แต่ไปถึงจุดมุ่งหมายเหมือนกัน
ธรรมชาติสอนให้รู้ว่า บางครั้งคนเราอยู่ใกล้กันมากอาจจะไม่ดี อยู่ไกลกันบ้างก็อาจจะดีกว่า
ในขณะเดียวกันมีบทวิจัยพบว่า แม้จะไม่มีโรคระบาดนี้
มนุษย์แต่ละชาติก็มีระยะห่างที่ไม่อยากให้คนอื่นเข้ามาใกล้เกินไปอยู่แล้ว
อาทิ คนอาร์เจนตินา ไม่ต้องการให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้เกินระยะ 76 เซนติเมตร
ส่วนบรรดาเพื่อนสนิทเข้าใกล้ได้ในระยะ 39 เซนติเมตร
คนเอเชียอาจจะมีระยะห่างใกล้กว่าคนอเมริกาใต้
ในขณะที่คนเมืองหนาวมีระยะห่างมากกว่าคนเมืองร้อน
อันมีสาเหตุจากวัฒนธรรม ภูมิประเทศของแต่ละพื้นที่เป็นตัวกำหนด
ระยะห่างของแต่ละคนจึงถือเป็นระยะที่ปลอดภัยด้วย
เช่นเดียวกับสัตว์ป่าในธรรมชาติ
ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสเดินป่าตั้งใจไปถ่ายรูปช้างป่าในป่าใหญ่
รอเวลานานดักซุ่มตามโป่งในธรรมชาติ จนพบช้างป่าเดินออกมาหากินบริเวณนั้น
ผมยืนถ่ายรูปในระยะห่างเกือบร้อยเมตร อันเป็นระยะห่างที่ปลอดภัยสำหรับทั้งสองฝ่าย
ช้างเดินหากินหญ้า มองไปรอบ ๆ และกินอาหารต่อไป
แต่เมื่อผมชะล่าใจเดินเข้าไปใกล้ ๆ หวังจะได้ภาพที่ดีขึ้น
ช้างตัวใหญ่มีปฏิกิริยาเร็วมาก เมื่อรู้ว่าระยะห่างระหว่างผู้มาเยือนต่างสายพันธุ์เริ่มผิดปกติ
ช้างกางหูขึ้นทันที เป็นการเตือนว่าอย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จนผมชะงักยอมถอยห่างออกมา
การรักษาระยะห่างเป็นเรื่องของความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ
และบางทีมิตรภาพในธรรมชาติอาจขาดสะบั้นลง หากระยะห่างถูกละเมิด
ระยะห่างแบบนี้ บางท่านเรียกว่า ระยะแห่งการให้เกียรติ
หรือระยะที่ได้รับการอนุญาต
ระยะห่างระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์นี้ ไม่สามารถบอกได้ว่าห่างกันเท่าไร
เพราะขึ้นกับสภาพแวดล้อมและภูมิหลังของสัตว์แต่ละชนิดด้วย
ในประเทศที่มีการล่าสัตว์มาก ระยะห่างระหว่างคนกับสัตว์ป่า
อาจจะห่างกันมากกว่าในประเทศที่ไม่ค่อยมีการล่าสัตว์
เพราะสัตว์ป่าย่อมคุ้นชินกับอันตรายจากสัตว์แปลกหน้าแตกต่างกัน
ในประเทศอินเดีย ที่แทบจะไม่มีการล่านก นักดูนกสามารถเข้าใกล้นกได้มากกว่า
การดูนกในประเทศลาวหรือเวียดนามที่การล่านกเป็นเรื่องปกติ
ครั้งหนึ่งผมเคยถ่ายรูปนกกระเรียนในธรรมชาติบริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยจรเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์
ผมค่อย ๆแหวกพงหญ้าเคลื่อนเข้าไปใกล้นกกระเรียนกลางทุ่ง จนถึงระยะห่างที่ปลอดภัยสำหรับนก
ที่ยังเดินหาหอยกินได้อย่างอิสระ แต่พอผมเคลื่อนไปข้างหน้าหลายก้าว
นกกระเรียนจะเดินถอยห่างออกไปเช่นกัน และบางครั้งยังส่งเสียงร้องเตือนไม่ให้เข้าใกล้กว่านี้
ราวกับจะบอกผมว่า หากอยากรู้จักกัน เรียนรู้กัน ก็ควรมีระยะห่างเพื่อความปลอดภัยของทั้งสองฝ่ายนะ
การมีระยะห่างเพื่อความปลอดภัยของสัตว์ด้วยกันเองนั้น ยังพบเห็นได้ทั่วไปในธรรมชาติ
อาทิม้าลาย ควายป่า ยีราฟ ฯลฯ สามารถยืนระยะห่างและหาอาหารร่วมกับสิงโตได้ในทุ่งหญ้าเดียวกัน
แต่หากสิงโตเข้ามาใกล้เกินไป สัตว์เหล่านี้รับรู้ถึงอันตรายได้ จะวิ่งหนีห่างออกไปอยู่ในระยะที่ปลอดภัยกว่า
ระยะห่างของสัตว์ยังหมายรวมไปถึงความปลอดภัยจากการติดเชื้อโรค
แบบที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันด้วย
ในปี 1966 เจน กูดดอลล์ นักธรรมชาติวิทยาชื่อดัง
ได้สำรวจพฤติกรรมของลิงชิมแปนซีในอุทยานแห่งชาติ ประเทศแทนซาเนีย ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมชิมแปนซีชื่อ แม็กเกรเกอร์ ที่ติดเชื้อโปลิโอจากเชื้อไวรัส
และบันทึกไว้ในหนังสือเรื่อง In the Shadow of Man ปี 1971ว่า
“สมาชิกตัวอื่นในฝูงเริ่มทำร้ายและขับไล่แม็กเกรเกอร์ออกจากฝูง
และเมื่อฝูงชิมแปนซีนั่งรวมกลุ่มเพื่อหาปรสิตบนตัวของกันและกันอยู่ใต้ต้นไม้
แม็กเกรเกอร์พยายามเข้าไปทักทายสมาชิกในฝูง แต่กลับได้รับการตอบรับอย่างเฉยเมย
ด้วยการไม่ทักทายและเดินจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง”
การขับไล่ลิงที่ติดเชื้อโรค คือการรักษาระยะห่างทางสังคม
เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายไปในฝูงลิงชิมแปนซี
ยังมีสัตว์หลายชนิดที่ใช้วิธีรักษาระยะห่างจากสัตว์ที่ติดเชื้อโรค
รวมไปถึงการไล่สัตว์เคราะห์ร้ายตัวนั้นออกจากฝูง
นอกจากสัตว์แล้ว ต้นไม้ยังมีปรากฎการณ์การรักษาระยะห่างบนเรือนยอดต้นไม้ เช่นกัน
แต่ไม่ใช่เพื่อความปลอดภัย แต่เพื่อความอยู่รอด
เวลาเดินป่า หากลองแหงนหน้าขึ้นดูเรือนยอดของต้นไม้ต่างๆ ที่เป็นชนิดเดียวกัน
จะเห็นว่าเรือนยอดต้นไม้ที่แม้จะขึ้นหนาแน่นเพียงใด จะไม่แผ่กิ่งก้านสาขามาชิดกัน มีระยะห่างเสมอ
ระยะห่างของกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ มีขื่อเรียกว่า ปรากฏการณ์ Crown Shyness”
หรือ “ปรากฏการณ์ต้นไม้ขี้อาย” เป็นปรากฎการณ์ที่เรือนยอดของต้นไม้ชนิดเดียวกันสูงใกล้เคียงกัน
จะมีการเว้นระยะห่างตรงเรือนยอดแต่ละต้น ราวกับว่าต้นไม้อายกันไม่กล้าใกล้ชิดกันมากกว่านี้
นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่ามีเหตุผล เพื่อเปิดช่องว่างให้แสงแดดสามารถส่องลงถึงพื้นดินได้
เพื่อให้ต้นไม้หรือลูกไม้ด้านล่างได้รับแสงสว่างพอเพียงในการเจริญเติบโต
และระยะห่างยังเป็นการลดการติดต่อของแมลงจากต้นไม้อื่นที่จะมาทำอันตรายได้
การเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัย เพื่อความอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ไม่ว่าพืชหรือสัตว์
จึงเป็นเรื่องของธรรมชาติจัดสรรโดยแท้
ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์