ภาคอีสานวันนี้ นอกจากต้องสู้กับโรคระบาด Covid-19 แล้ว ปัญหาภัยแล้งดูจะหนักหนาแสนสาหัสจริง ๆ
ในขณะเดียวกัน หลายคนเริ่มออกมาทำนายว่า หลังจากวิกฤติการณ์โรคระบาดครั้งนี้ผ่านพ้นไป
การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตครั้งใหญ่ในสังคมอาจจะเกิดขึ้น
ชีวิตในเมืองใหญ่ ที่มีผู้คนหนาแน่น มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมสรรพ
อาจจะไม่ใช่คำตอบสำหรับความสุขอันยั่งยืนอีกต่อไป
แต่ชุมชนในท้องถิ่นที่สามารถพึ่งตนเองได้จริงจัง ผลิตอาหารเอง อากาศดี สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้สะดวก มีป่าและมีแหล่งน้ำเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ อาจคือคำตอบของผู้คนในสังคมยุคใหม่
บางทีชุมชนตำบลหนองบัวสะอาด อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา อาจตอบโจทย์อะไรบางอย่าง
ก่อน Covid-19 จะกระจายออกจากกรุงเทพมหานครไม่นาน ผู้เขียนมีโอกาสไปเดินสำรวจป่าโคกโสกบก เป็นป่าชุมชนที่ชาวตำบลหนองบัวสะอาดช่วยกันดูปกป้องไม่ให้ถูกบุกรุกทำลายมานาน
ป่าแห่งนี้มีขนาดพื้นที่ 600 กว่าไร่ มีความอุดมสมบูรณ์มาก ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำซับโป่งหวาย มีน้ำผุดตลอดทั้งปีและเป็นต้นน้ำของลำห้วยหวาย ลำน้ำสำคัญของตำบลหนองบัวสะอาดที่หล่อเลี้ยงชุมชนหลายหมู่บ้าน
ชาวบ้านที่พาไป ชี้ให้ดูพันธุ์ไม้หลากหลายชนิด ทั้งสมุนไพรและเป็นแหล่งอาหารจากป่า อาทิ อิลอก ดอกกระเจียว ผักหวานป่า หน่อไม้ และเห็ดชนิดต่างๆ และยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าอีกหลายชนิด อาทิ กระรอก กระแต กระต่ายและหมาจิ้งจอก
“ตำบลหนองบัวสะอาด มีป่าชุมชนกระจายอยู่รอบ ๆ ตำบลอีก 5 ป่า รวมพื้นที่แล้วประมาณสองพันไร่ เป็นหลักประกันความยั่งยืนของความเป็นป่าต้นน้ำ ที่มีน้ำซึมออกมาสู่หนองน้ำเบื้องล่าง ”
ไม่ไกลจากป่า ผมเห็นหนองน้ำขนาดใหญ่ยังมีปริมาณน้ำเกินครึ่ง ชาวบ้านจะมีน้ำประปา น้ำใช้รวมไปถึงการกระจายน้ำไปสู่พื้นที่เกษตรอย่างพอเพียงไปตลอด และยังมีการฟื้นฟูลำห้วย ขุดลอกคูคลอง อีกหลายแห่ง เป็นหลักประกันว่า หน้าแล้งนี้พวกเขามีน้ำกินน้ำใช้แน่นอน โดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอกเลย
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ชาวตำบลหนองบัวสะอาดผ่านร้อนผ่านหนาวมานานแล้ว
พวกเขามีความเชื่อตลอดว่า “ไม่มีป่า ก็ไม่มีน้ำ”
พวกเขาทราบดีว่า หากป่าไม้ชุมชนถูกทำลาย จะส่งผลกระทบต่อดินและแหล่งน้ำ เพราะเมื่อเผาหรือถางป่าไปแล้ว พื้นดินจะโล่งขาดพืชปกคลุม เมื่อฝนตกลงมาก็จะชะล้างหน้าดินและความอุดมสมบูรณ์ของดินไป นอกจากนั้นเมื่อขาดต้นไม้คอยดูดซับน้ำไว้ ยามหน้าฝนน้ำก็จะไหลบ่าท่วมบ้านเรือน และที่ลุ่ม เมื่อถึงฤดูแล้งก็ไม่มีน้ำซึมใต้ดินไว้หล่อเลี้ยงต้นน้ำลำธารทำให้แม่น้ำมีปริมาณน้ำน้อย
การปกป้องป่าไม่ให้ถูกบุกรุกจึงกระทำมาโดยตลอด โดยเฉพาะการถูกบุกรุกให้เป็นที่เลี้ยงสัตว์ของนายทุนจากภายนอก
ปี พ.ศ. 2549 พระครูกิตติศีลโสภณ ผู้นำสำคัญของตำบลได้ริเริ่มโครงการบวชป่าขึ้น ร่วมมือกับผู้นำชุมชนออกระเบียบการใช้ป่าชุมชน ใช้มาตรการเข้มงวดสำหรับผู้ลักลอบตัดไม้ ทั้งปรับและส่งเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังจากนั้นจึงได้เริ่มปลูกป่าในพื้นที่สาธารณะทั่วไป เริ่มจากวัด โรงเรียน ริมถนน ส่งเสริมให้ประชาชนนำไม้ไปปลูกในพื้นที่ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นที่ไร ที่นา หรือที่อยู่อาศัยที่สามารถปลูกได้
“อาตมา มีแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาให้ตำบลหนองบัวสะอาดเป็นปอดให้กับคนบัวใหญ่และเป็นพื้นที่ปลอดขยะอย่างถาวร”
ทุกวันนี้หากใครแวะผ่านไปตำบลนี้ ภาพแรกที่เห็นคือต้นไม้ใหญ่สองข้างทาง และชาวบ้านมาวิ่งออกกำลังกายจนเป็นภาพชินตา
จากนั้นท่านพระครูกิตติศีลโสภณก็เริ่มรณรงค์ในกำจัดขยะในพื้นที่สาธารณะโดยท่านได้เริ่มเก็บขยะและนำไปเผาด้วยตัวท่านเองและนำพระสงฆ์ไปช่วยเก็บขยะ
เมื่อพระสงฆ์ลงมือปฏิบัติด้วยตัวเองอย่างจริงจัง ความร่วมมือของทุกฝ่ายในตำบลก็เกิดขึ้นตามมา
ปี พ.ศ. 2552 มีการจัดตั้งคณะกรรมการอนุรักษ์ป่าและแหล่งน้ำสาธารณะ โดยองค์การบริหารส่วนตำบลหนองบัวสะอาด มีรูปแบบชัดเจนมากขึ้น มีการปลูกป่าทดแทนมากขึ้น มีการระดมอาสาสมัครมาขุดลอกหนองคูคลองเป็นประจำ และกลายเป็นหมู่บ้านปลอดขยะในเวลาต่อมา
มีการจัดการขยะอย่างเป็นระบบ โดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน มีกฎกติกา การให้ความรู้ การลดขยะต้นทาง และมีการทำข้อตกลงการบริหารจัดการขยะร่วมกันของชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิ อบต. โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น
เมื่อมีน้ำสมบูรณ์แล้ว ชาวชุมชนหนองบัวสะอาดได้หันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น จนทำให้การปลูกข้าวอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้
“เรื่องของเรื่องคือ มีลูกบ้านคนหนึ่งเป็นพนักงานของสถานีโทรทัศน์ดังช่องหนึ่ง ตอนแรกลูกบ้านก็เอาข้าวอินทรีย์ปลอดสารไปทดลองขายในบริษัท ปรากฏว่าคนซื้อไปกินแล้วติดใจ มีการบอกต่อๆกัน ทั้งดารา นักร้องในช่องทีวีมาซื้อกันมากมาย แทบจะผลิตไม่ทันขาย” กำนันเล่าให้ผู้เขียนฟัง
เมื่อมีตลาดชัดเจน มีผู้ซื้อแน่นอน ชาวบ้านจึงเริ่มหันมาสนใจปลูกข้าวอินทรีย์แทนข้าวที่ใช้สารเคมี ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมกลุ่ม จำนวน 369 ครัวเรือน จากทั้งหมด 1,687 ครัวเรือนของตำบล คิดเป็น 21 % ถือว่าเป็นสัดส่วนที่มาก
หากคิดว่า เกษตรอินทรีย์คือคำตอบระยะยาวสำหรับอนาคตของเกษตรไทย ในฐานะแหล่งผลิตอาหารของโลก ตำบลหนองบัวสะอาดน่าจะเป็นโมเดลที่ยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง
“ปลูกข้าวอินทรีย์สอนให้พวกผมอดทนและรอคอย เพราะปลูกปีแรก ๆ ไม่ค่อยได้ผลหรอก แต่สองสามปีต่อมา ผลิตผลจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบเท่ากับนาที่ใช้ยา คือได้ข้าวไร่ละ 300-400 กิโลกรัม แต่ขายได้ราคาแพงกว่า และที่สำคัญคือไม่มีรายจ่ายค่ายา ค่าปุ๋ย”
ชาวบ้านคนหนึ่งที่ผมนั่งล้อมวงคุยในเย็นวันนั้นพูดจบ อีกคนหนึ่งก็เล่าให้ฟังต่อว่า
“สิ่งที่ได้กลับคืนมาอีกอย่างคือ สุขภาพของพวกเรา ตั้งแต่เลิกใช้ยา สุขภาพดีขึ้นจริง ๆ และทุกวันนี้ ลูกหลานเรายังมีเวลาไปวิ่งออกกำลังกาย ไม่ต้องทนกลิ่นเหม็นจากการสูดดมยาเหมือนเมื่อก่อน”
เย็นนั้น หลังจากนั่งสนทนากับผู้คนหลากหลาย ทั้งพระ ผู้ใหญ่และเยาวชน ผมรู้สึกได้ว่า หนองบัวสะอาดเป็นชุมชนที่มีความสามัคคี เป็นตัวอย่างที่ดีของเครือข่ายระดับตำบลที่หาได้ยากที่มีการเชื่อมโยงหลายหมู่บ้านมาเป็นเครือข่ายเพื่อช่วยกันรักษาป่าในทุกกลุ่ม เช่น ชาวบ้าน พระ ผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครู นักเรียน อบต. กรมป่าไม้ ซึ่งต่างมาด้วยความเข้าใจ ทำให้ไม่มีผู้นำที่โดดเด่น แต่มีความหลากหลายขององค์ความรู้ มีการถ่ายทอดองค์ความรู้จากผู้ใหญ่สู่เด็กรุ่นใหม่ทำให้มีตัวแทนระดับเยาวชนเป็นกำลังสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในชุมชน
การทำเกษตรอินทรีย์ กลายเป็นหลักประกันทางเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งของชาวบ้านในอนาคต และหมายถึงอาหารที่คนในชุมชนผลิตเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาจากภายนอก และยังไม่นับรวมสุขภาพของผู้คนที่ดีขึ้นโดยถ้วนหน้า
คำตอบของวิถีชีวิตสมัยใหม่อาจจะอยู่ในท้องถิ่น อยู่ที่ว่าคนในชุมนุมอาจจะร่วมมือกันสร้างขึ้นมาได้อย่างไร