
ขณะที่รัฐบาลหายใจเข้าออกเป็นการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาโรค Covid-19
ปัญหาหมอกควันพิษทางภาคเหนืออาจจะร้ายแรงกว่า แต่แทบจะไม่มีใครสนใจ
สถานการณ์หมอกควันพิษในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ติดอันดับหนึ่งของโลกมาหลายวันแล้ว
ดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศเชียงใหม่ในบางแห่งอากาศทะลุ 1,000 ไปแล้ว
บางพื้นที่ในจังหวัด ค่า PM 2.5 สูงทะลุ 500 จุด มากกว่าระดับปรกติถึง 100 เท่า
อย่าประมาทว่ามหาไฟป่าที่เกิดในประเทศออสเตรเลียจะไม่เกิดในเมืองไทย
คุณภาพอากาศทุกอำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ เลวร้ายที่สุดในโลก
แพทย์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า ค่าฝุ่น p.m.2.5
ได้คร่าชีวิตของคนในอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 1.6% ในเวลาเพียง 1 สัปดาห์
เราไม่รู้หรอกว่า จะมีคนป่วยตายอีกเท่าไหร่จากผลกระทบของการสูด pm2.5 สะสมทุกปี
น่าตลกคือที่ผ่านมา รัฐบาลออกแผนปฎิบัติการวาระแห่งชาติเกี่ยวกับปัญหาหมอกควันพิษ แต่ไม่มีอะไรเลย
เป็นแค่วาระแห่งชาติในห้องแอร์ พอออกจากห้องก็ไม่มีใครพูดถึง
ตามแผนปฎิบัติการวาระแห่งชาติเมื่อฝุ่นPM2.5 มีค่าสูงกว่า100 มคก. ต่อลบ.ม. ผู้ว่าราชการจังหวัด
มีอำนาจประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ เพื่อระดมเงินและเจ้าหน้าที่ออกมาจัดการปัญหาได้ทันทีทันควัน รวมถึงการซื้อหน้ากากอนามัยแจกให้กับพี่น้องประชาชน
แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ล่าสุดผู้ว่าราชการจังหวัดบางแห่งปฏิเสธที่จะออกประกาศพื้นที่ภัยพิบัติ
เพราะคิดว่าเป็นหายนะชั่วคราว
ผ่านไปหลายอาทิตย์หมอกควันพิษยังปกคลุมหนาแน่น ยังคิดว่าเป็นหายนะชั่วคราว
หากเป็นประเทศอื่นในโลกนี้ หลายจังหวัดจะถูกประกาศเป็นจังหวัดภัยพิบัติ หรือประกาศภาวะฉุกเฉิน
รัฐบาลออกมาตรการเร่งด่วนให้ทุกคนในเมืองเตรียมตัวรับสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างไร
จะมีการออกมาตรการ ข้อกำหนดต่าง ๆ และรับมือกับภัยพิบัติอย่างละเอียด เป็นขั้นตอน
อาทิ การแจกหน้ากากกันพิษ การหยุดการเรียนการสอน และการเอาจริงเอาจัง เข้มข้นกับการดับไฟป่า
แต่ทุกวันนี้ นอกจากความขุ่นมัวของท้องฟ้า ไฟป่า และทัศนวิสัยอันปกคลุมด้วยหมอกควันพิษแล้ว
มีแต่ความเงียบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
รัฐบาลและผู้มีอำนาจ ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่า ไปตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ มอบนโยบายพอเป็นพิธี แจกสิ่งของ และถ่ายภาพร่วมกัน
แล้วบินกลับไปบัญชาการอยู่ห้องในแอร์ที่กรุงเทพฯต่อไป
ราวกับเป็นงานประจำที่ทำทุกวัน ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินอะไร
ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยในจังหวัดต้องออกมาดับไฟป่าอย่างหนักหน่วง
ปล่อยให้ชาวบ้านต้องช่วยเหลือตัวเอง ราวกับว่าไม่มีรัฐบาล
ไม่มีผู้นำคนไหน ออกมาร่วมทุกข์ร่วมสุข หรือดับไฟกับชาวบ้านหรือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย
เพราะก่อนหน้านี้หากรัฐบาลมีมาตรการระยะยาว ระยะสั้นในการเตรียมการจัดการแก้ไขต้นเหตุของปัญหาไฟป่าอย่างจริงจัง
คุณภาพอากาศคงจะไม่เลวร้ายเท่าตอนนี้
ทั้ง ๆที่รู้มาตลอดว่า ต้นเหตุของปัญหาคืออะไร
ปัญหาการเผาพืชไร่ โดยเฉพาะตอซังข้าวโพด หลังการเก็บเกี่ยว
เมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่การเกษตรมาส่งเสริมให้คนปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อการส่งออก พื้นที่เกษตรและการบุกรุกป่าเพื่อปลูกข้าวโพดได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญ
ทุกวันนี้พื้นที่ปลูกข้าวโพดทั่วประเทศมีประมาณ 7 ล้านไร่ และอยู่ในภาคเหนือถึง 4.5 ล้านไร่
หลังฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงนี้ การเผาพืชไร่ของชาวไร่ เพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกต่อไปจึงยังทำกันสม่ำเสมอ
เพราะชาวไร่ไม่มีวิธีอื่น แม้ว่าจะมีการออกประกาศห้ามเผา แต่ในทางปฏิบัติ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
นอกจากเผาพืชไร่ในพื้นที่ของตัวเองแล้ว ไฟยังลุกลามเข้าไปในป่าที่ติดกันอีก
ไม่รวมถึงการบุกรุกป่าเพื่อทำไร่ข้าวโพด และถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จุดไฟเผา ลุกลามเป็นไฟป่า
อีกปัญหา คือหมอกควันพิษที่ลอยมาจากการเผาซากไร่ประเทศเพื่อนบ้านหลายล้านไร่ จากนโยบายส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเพื่อนำมาทำอาหารสัตว์ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมการเกษตร
แต่ก็ยังไม่มีการเจรจาในระดับภูมิภาคเลยว่า จะจัดการปัญหานี้อย่างใด เปรียบเทียบกับเมื่อครั้งเกิดไฟป่าที่ประเทศอินโดนีเซีย จากการเผาป่าเพื่อเปลี่ยนเป็นสวนปาล์ม จนควันลอยมาถึงประเทศสิงคโปร์ รัฐบาลสิงคโปร์กดดันประเทศเพื่อนบ้านจนประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง
อีกสาเหตุหนึ่ง เกิดขึ้นไม่นาน คือ กลุ่มนายทุนจากตัวเมือง ที่ว่าจ้างชาวบ้านชาวเขาที่อาศัยใกล้ป่าหลายแห่ง ให้เลี้ยงฝูงวัวควายหากินในป่า และพอเข้าหน้าแล้งก็จุดไฟเผาป่า หวังจะเกิดหญ้าระบัด ให้วัวควายได้กิน กลายเป็นสาเหตุสำคัญ
เพราะเป็นการตั้งใจจุดไฟเผาป่า จนกลายเป็นไฟลามไปทั้งป่า
และปัญหาอีกประการคือ ความขัดแย้งของชาวบ้านผู้อาศัยอยู่รอบอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหลายแห่งกับเจ้าหน้าที่ จนเมื่อเกิดปัญหาไฟป่า คนที่ดับไฟป่ามีเพียงเจ้าหน้าที่ ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่กลับนั่งดูเฉย ๆ
ทั้ง ๆ ที่การดับไฟป่า จำเป็นต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ส่วนราชการด้วยกันเอง ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ไปจนถึง ภาคเอกชน ชาวบ้านอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
ซ้ำร้ายประสบกับสภาพอากาศแปรปรวนจากปัญหาโลกร้อน ความแห้งแล้งรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกปี
ดังนั้น การเตรียมตัวรับมือกับปัญหาหมอกควันพิษจึงต้องเป็นเป็นเรื่องจริงจัง
รัฐบาลต้องให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาทั้งภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบ
รวมถึงความร่วมมือระดับอาเซียนในการแก้ปัญหาหมอกควันพิษ
หรือว่า จะปล่อยให้คนภาคเหนือรับชะตากรรมไปเรื่อย ๆ ทุกปี
หรือว่า ความสิ้นหวังเป็นแบบนี้เอง
One thought on “หมอกควันพิษภาคเหนือ ความสิ้นหวังเป็นแบบนี้เอง”