“ผู้ที่จะอยู่รอดได้ไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่ง
หรือฉลาดที่สุด
แต่คือผู้ที่ปรับตัวตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดต่างหาก”
Charles Darwin
แทบไม่น่าเชื่อว่า เชื้อ Corona virus ที่ก่อตัวอย่างเงียบ ๆ เมื่อปลายปี 2562 ใช้เวลาแค่สามเดือน ขยายตัวลุกลามใหญ่โตอย่างรวดเร็ว จากเมืองอู่ฮั่นในประเทศจีน กระจายไปเอเชีย ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา ออสเตรเลีย ไปทั่วโลก สร้างความปั่นป่วนให้กับโลกมนุษย์ครั้งร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อเจ็ดสิบปีก่อนเป็นต้นมา
ปีหนึ่งผ่านไปการระบาดของโรคร้ายก็ยังไม่จางหายไปซ้ำยังระบาดเป็นระลอกใหม่ร้ายแรงกว่าเดิมอีก
ไม่ใช่แต่เพียงชีวิตมนุษย์ที่ต้องเจ็บป่วยล้มตายหลายสิบล้านคน เศรษฐกิจทั่วโลกก็พังทลายอย่างรวดเร็วโดยสิ้นเชิง
ทั้ง ๆที่ก่อนหน้านี้ มีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจของโลกน่าจะเข้าสู่ยุคฟองสบู่แตกครั้งใหม่ และโลกจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่เร็ว ๆ นี้
แต่ไม่ต้องรอให้ฟองสบู่แตก การระบาดของไวรัสเพียงสามเดือน เศรษฐกิจโลกก็ตกต่ำหนักที่สุดในรอบร้อยปีทันที
ผู้คนหากไม่เจ็บป่วยหรือล้มตาย หลายคนก็แทบสิ้นเนื้อประดาตัว
มันรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ รวดเร็วจนแทบจะไม่มีสัญญาณเตือนภัยใด ๆ
โรคซาร์ส โรคอีโบล่า ในอดีต มนุษย์ยังเตรียมตัวทันในการรับมือได้ทัน แต่กับเจ้าCorona virus มันปรับตัวได้รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อในการแพร่กระจาย สามารถเจาะแนวตั้งรับของมนุษย์แตกกระจายไปหมดทุกทวีป
ขณะนี้ทั่วโลกหมดเงินไปกับการต่อสู้กับไวรัสตัวจิ๋วนี้นับมูลค่าหลายล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐ ไม่นับรวมการปิดกิจการของบริษัทหลายล้านแห่งทั่วโลก ตลาดหุ้นอันพังพินาศ มูลค่าทรัพย์สินทั่วโลกที่หดหายไปอย่างรวดเร็ว
หากเป็นคนต้องยอมรับว่า เงินทองที่เก็บสะสมมาทั้งชีวิต หมดไปกับเหตุการณ์ครั้งนี้ครั้งเดียว
เริ่มมีคำถามว่า ระบบทุนนิยม วิถีชีวิตที่ดำเนินอยู่ในทุกวันนี้กำลังถูกเชื้อไวรัสนี้กวาดไปด้วยหรือไม่
อย่าลืมว่าสมัยศตวรรษที่ 14 เมื่อเชื้อกาฬโรคได้ระบาดไปทั่วโลกจนเรียกว่า Great Plague หรือ ซึ่งเริ่มต้นจากตอนใต้ของประเทศอินเดียและประเทศจีนระบาดไปตลอดเส้นทางสายไหม (Silk Road) กระจายไปทั่วเอเชีย, ยุโรป และแอฟริกา ที่อิตาลีมีการระบาดในช่วง ค.ศ. 1338 – 1351 ทำให้ประชากร 2 ใน 3 ของประเทศ และในค.ศ. 1400 เกิดการระบาดใหญ่ที่กรุงลอนดอนเรียกว่า มีคนตายถึง 70% จากจำนวนประชากร 450,000 คน เหลือเพียง 60,000 คน
ห้าปีผ่านไป Black Death ฆ่าชีวิตผู้คนในยุโรปไปไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคนหรือประชากร 1 ใน 4 ทวีปยุโรป
และที่สำคัญคือ เชื้อโรคนี้ยังกวาดเอาระบบศักดินาในยุโรปอันล้าสมัยและไม่สามารถแก้ปัญหาหลายอย่างให้หายสาบสูญไปด้วย ถือเป็นการปรับตัวของสังคมเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ และนำไปสู่ยุคเรืองปัญญา (Age of Enlightenment) นำไปสู่การปฏิรูปสังคมและส่งเสริมการใช้หลักเหตุผลมากกว่าการใช้หลักจารีต ความเชื่อ รวมไปถึงส่งเสริมความรู้ทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง การเคลื่อนไหวยังสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้หรือการใช้ปัญญา ต่อต้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ และนำทางให้หลายประเทศในยุโรปเติบโตเป็นชาติมหาอำนาจจนถึงปัจจุบัน
หรือพูดอีกนัยคือ เศรษฐกิจและวิถีชีวิตของโลกอาจจะต้องถึงคราวปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อรับมือกับเชื้อไวรัสตัวใหม่ ที่กลายพันธุ์น่ากลัวกว่าแน่นอน
เวลาเราพูดถึงการปรับตัว ไวรัสปรับตัวมานานแล้ว ที่เรารู้จักกันว่า กลายพันธุ์ คือการปรับตัวของไวรัสเพื่อการอยู่รอด
ผู้เขียนขอตั้งข้อสังเกตบางประการว่า ในอนาคตหลังไวรัสผ่านไป เราอาจเห็นการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดแบบใหม่ของมนุษย์ เพราะในอนาคต หากยังใช้ชีวิตแบบเดิม ไวรัสตัวใหม่ อาจจะมาเยือนอีกก็ได้ อาทิ
1 การกระจายความเสี่ยง เมืองใหญ่ ๆ ที่มีผู้คนกระจุกตัวอยู่หนาแน่น เป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง แต่เวลาเกิดโรคระบาด จะติดต่อได้เร็ว เมืองใหญ่ ๆ อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ผู้คนอยากจะมาใช้ชีวิตอีกต่อไป เมืองเล็ก ๆ อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
2 การกระจายอำนาจ ไปทั่วประเทศ กระจายความเจริญไปทั่วประเทศ เพื่อให้แต่ละเมืองอยู่รอดได้ มีเศรษฐกิจมั่นคงเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาความเจริญจากส่วนกลาง
3 กระจายความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจของประเทศที่ไม่ได้พึ่งพารายได้หลักอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นหลัก เมื่อทั้งสองอย่างพังทลายลง เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศก็แย่ลงด้วย
4 การผลิตขนาดใหญ่แบบ mass product กำลังถูกท้าทาย โดยเฉพาะการพึ่งพา supply chain หรือห่วงโซ่อุปทานจากนอกประเทศ ว่าจะอยู่รอดได้จริงหรือหากเกิดวิกฤติขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
5 ผู้คนจะเข้าหาธรรมชาติมากขึ้น ผู้คนมีสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะเริ่มรับรู้แล้วว่า การทำลายธรรมชาติ คือจุดเริ่มต้นของโรคระบาดไปทั่วโลก และเริ่มตระหนักว่า การแสวงหาความสุขทางจิตใจ มีความจำเป็นมากพอ ๆกับความสุขจาการได้จับจ่ายใช้เงิน
6 นับวันคนต่างจังหวัดที่มาหางานทำในเมืองใหญ่ เริ่มคิดแล้วว่า การทำงานในเมืองอาจไม่ใช่คำตอบ อนาคตของตัวเองคือกลับไปสร้างงานที่บ้านเกิด อาจจะมั่นคงและปลอดภัยกว่าในเมืองใหญ่
7 อาชีพที่สามารถทำงานในบ้าน โดยไม่จำเป็นต้องเข้าที่ทำงาน ไม่จำเป็นต้องพบปะผู้คนมากมายหรือบ่อย ๆ และใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการทำงาน จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก
8 มนุษย์จะฝึกฝนทักษะ ความสามารถที่ตัวเองสามารถทำได้หลากหลายมากขึ้น อาทิ งานช่างต่าง ๆ งานไม้ ไฟฟ้า ประปา ทำสวน ฯลฯ เพื่อลดการพึ่งพาคนอื่น ช่วยตัวเองให้มากขึ้น
9 ผู้คนอาจจะรู้สึกว่า small is beautiful ทำเรื่องเล็ก ๆ พอประมาณ มีความสุขตามสมควร อาจจะน่ายินดีกว่า การคิดการใหญ่ ทำงานหวังประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว
10 การปกครองที่สอดคล้องกับสภาพความจริงในสังคมจะได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา
เมื่อ Corona Virus หายไป แต่ในอนาคต เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรียใหม่ ๆ ที่มนุษย์เพิ่งค้นพบ หรือกลายพันธุ์มาใหม่ ร้ายแรงกว่าเก่า จะปรากฎตัวให้เห็นแน่นอน อยู่ที่ว่า มนุษย์จะมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อต่อสู้กับโรคร้ายได้เพียงใด