บ่ายวันหนึ่งในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี ขณะที่ผู้เขียนกำลังเสร็จจากการถ่ายช้างป่าที่ลงมาเล่นน้ำในป่าลึกแห่งนี้ พลันสายตาเหลือบไปเห็นงูเขียวตัวหนึ่งเลื้อยอย่างว่องไวพุ่งออกจากท่อนไม้เก่าที่อยู่ใกล้ ๆ
เราสะดุ้งตัวฉากหลบออกด้วยสัญชาติญาณ
มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปรอบ ๆ ท่อนไม้ มุดเข้ามุดออกในโพรงด้านในหลายรอบ
ราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง
เราเริ่มสนใจว่าอะไรทำให้งูตัวนี้ปราดเปรียวตลอดเวลา แบบไม่หยุดนิ่งเลย
ความสนใจสัตว์ตัวใหญ่เปลี่ยนมาเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้น
สักพักจิ้งจกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งออกจากโพรงในท่อนไม้อย่างรวดเร็ว โดยมีงูเขียวเลื้อยติดตามอย่างไม่ลดละ เพื่อจับกินเป็นอาหารมื้อนี้ให้ได้
งูเขียวเคลื่อนไหวเร็วแล้ว แต่จิ้งจกวิ่งไวกว่า ด้วยสัญชาติญาณเอาตัวรอด จิ้งจกวิ่งเข้าวิ่งออกตามโพรงไม้รวดเร็วทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมัจจุราชสีเขียวตามไม่ติด และหาเหยื่อไม่เจอ
เราสังเกตว่างูเขียวแลบลิ้นออกมาตลอดเวลา รับกลิ่นที่เหยื่อทิ้งไว้ในอากาศและพื้นดิน ติดตามกลิ่นของจิ้งจกที่เคลื่อนที่รวดเร็วมาก
การแลบลิ้นก็คล้ายกับเรดาร์จับทิศทางเหยื่อ
แต่คราวนี้จิ้งจกหยุดความเคลื่อนไหว
เราเห็นจิ้งจกเกาะท่อนไม้ไม่ไหวติง มันนิ่งมากแทบไม่หายใจ จนหลายครั้งงูเขียวเลื้อยผ่านตัวจิ้งจกไปหลายครั้ง โดยหารู้ไม่ว่ามันเคลื่อนตัวใกล้เหยื่อมากเพียงใด
งูเลื้อยไปมาตลอดเวลา บ้างอยู่ไกล บ้างอยู่ใกล้จากเหยื่อหลายครั้ง แต่แม้จะใกล้เพียงใด จิ้งจกก็ใจแข็งไม่ยอมโกยแน่บ
ราวกับรู้ว่า ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว สยบทุกอย่างจริง ๆ
ยิ่งนิ่ง โอกาสอยู่รอดมีชีวิตก็ยิ่งสูงมาก
กลางแดดร้อนจัด เราอดทนดูการไล่ล่าผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ดูไม่ออกว่า ใครคือผู้แพ้ ผู้ชนะ
ตราบใดที่จิ้งจกทำตัวนิ่งราวไร้ชีวิต โอกาสรอดตายก็มีสูง
จนเมื่องูเคลื่อนห่างเหยื่อออกไป จิ้งจกชะล่าใจเคลื่อนไหวกลับไปในโพรงไม้ เพียงเสี้ยววินาที งูหันขวับเลื้อยติดตามเข้าไปในโพรงไม้ทันที
เราได้ยินเสียงกึกกัก เสียงเงียบลง ภาพที่เห็นเมื่องูเขียวเลื้อยออกมา คือจิ้งจกโชคร้ายตัวนั้นกำลังค่อย ๆถูกกลืนเข้าไปในลำคองู แม้มันจะพยายามดิ้น แต่ยิ่งดิ้นร่างเปื้อนสีเลือดก็ลงลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนงูขย้อนเหยื่อทั้งตัวลงจนหมด
งูเคลื่อนไหวช้าลง จากท้องอันอิ่มแปร้ และค่อย ๆ เลื้อยหายวับเข้าไปในโพรงไม้นั้น
ความนิ่งสงบเคยช่วยชีวิตจิ้งจก และความเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็พรากชีวิตมันไป
……………………
ณ ที่แห่งหนี่ง กลางสายฝนอันโปรยปรายลงมา
ซามูไรสองคน ยืนประจันหน้ากัน ทั้งสองกุมดาบในฝัก พร้อมจะกระชากดาบออกมาได้ทุกเมื่อ
ทั้งคู่ไม่เคลื่อนไหว ไม่ย่างเท้า หยุดนิ่งในท่วงท่าตั้งรับอันรัดกุมและจ้องตากันแทบไม่กระพริบอยู่นาน
นิ่งจนไม่ใส่ใจที่จะปาดน้ำฝนไหลย้อยใบหน้า
นานจนสายฝนจางหายไป
ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากันนับชั่วโมง ราวรูปปั้น
ทันใดนั้น ซามูไรคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว ตัดสินใจกระชากดาบออกจากฝัก เงื้อแขนตั้งใจฟันคู่ต่อสู้ตรงที่หมายตาไว้อย่างรวดเร็ว
แต่อีกฝ่ายที่ยืนนิ่งมาตลอด กลับรวดเร็วกว่า มีสมาธิมากกว่า เพียงพลิกกายหลบคมดาบ และชักดาบแทงสวนปักคาอกศัตรู
จนมองแทบไม่ทัน
ฝ่ายที่เงื้อดาบก่อน กลับกลายเป็นเปิดจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้ แม้เพียงเสี้ยววินาที ก็พ่ายแพ้ทันตา
คนที่เคลื่อนไหวก่อนล้มลงตายคาที่ ขณะที่อีกคนที่นิ่งกว่า นำดาบกลับสู่ฝัก และยืนนิ่งสงบ
ดาบซามูไร แพ้ชนะเพียงดาบเพลงเดียว
คนที่ชิงเคลื่อนไหวก่อน มักเผยจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้
ใครอดทน นิ่งสงบกว่าย่อมเห็นชัยชนะในบั้นปลาย
ชีวิตจริงของคนเรา บางครั้งการตั้งรับด้วยอาการอันสงบนิ่งสามารถสยบความเคลื่อนไหวได้
อยู่ที่จะอดทนพอหรือไม่
โดยเฉพาะในสถานการณ์อันวิกฤติ