ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว

 

unnamed

 

 

บ่ายวันหนึ่งในอุทยานแห่งชาติกุยบุรี  ขณะที่ผู้เขียนกำลังเสร็จจากการถ่ายช้างป่าที่ลงมาเล่นน้ำในป่าลึกแห่งนี้ พลันสายตาเหลือบไปเห็นงูเขียวตัวหนึ่งเลื้อยอย่างว่องไวพุ่งออกจากท่อนไม้เก่าที่อยู่ใกล้ ๆ

เราสะดุ้งตัวฉากหลบออกด้วยสัญชาติญาณ

มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปรอบ ๆ ท่อนไม้ มุดเข้ามุดออกในโพรงด้านในหลายรอบ

ราวกับค้นหาอะไรบางอย่าง

เราเริ่มสนใจว่าอะไรทำให้งูตัวนี้ปราดเปรียวตลอดเวลา  แบบไม่หยุดนิ่งเลย

ความสนใจสัตว์ตัวใหญ่เปลี่ยนมาเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้น

สักพักจิ้งจกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งออกจากโพรงในท่อนไม้อย่างรวดเร็ว โดยมีงูเขียวเลื้อยติดตามอย่างไม่ลดละ เพื่อจับกินเป็นอาหารมื้อนี้ให้ได้

งูเขียวเคลื่อนไหวเร็วแล้ว แต่จิ้งจกวิ่งไวกว่า ด้วยสัญชาติญาณเอาตัวรอด จิ้งจกวิ่งเข้าวิ่งออกตามโพรงไม้รวดเร็วทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายมัจจุราชสีเขียวตามไม่ติด และหาเหยื่อไม่เจอ

เราสังเกตว่างูเขียวแลบลิ้นออกมาตลอดเวลา รับกลิ่นที่เหยื่อทิ้งไว้ในอากาศและพื้นดิน ติดตามกลิ่นของจิ้งจกที่เคลื่อนที่รวดเร็วมาก

การแลบลิ้นก็คล้ายกับเรดาร์จับทิศทางเหยื่อ

แต่คราวนี้จิ้งจกหยุดความเคลื่อนไหว

เราเห็นจิ้งจกเกาะท่อนไม้ไม่ไหวติง มันนิ่งมากแทบไม่หายใจ จนหลายครั้งงูเขียวเลื้อยผ่านตัวจิ้งจกไปหลายครั้ง โดยหารู้ไม่ว่ามันเคลื่อนตัวใกล้เหยื่อมากเพียงใด

งูเลื้อยไปมาตลอดเวลา บ้างอยู่ไกล บ้างอยู่ใกล้จากเหยื่อหลายครั้ง แต่แม้จะใกล้เพียงใด จิ้งจกก็ใจแข็งไม่ยอมโกยแน่บ

ราวกับรู้ว่า ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว สยบทุกอย่างจริง ๆ

ยิ่งนิ่ง โอกาสอยู่รอดมีชีวิตก็ยิ่งสูงมาก

กลางแดดร้อนจัด เราอดทนดูการไล่ล่าผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ดูไม่ออกว่า ใครคือผู้แพ้ ผู้ชนะ

ตราบใดที่จิ้งจกทำตัวนิ่งราวไร้ชีวิต โอกาสรอดตายก็มีสูง

จนเมื่องูเคลื่อนห่างเหยื่อออกไป จิ้งจกชะล่าใจเคลื่อนไหวกลับไปในโพรงไม้ เพียงเสี้ยววินาที งูหันขวับเลื้อยติดตามเข้าไปในโพรงไม้ทันที

เราได้ยินเสียงกึกกัก เสียงเงียบลง ภาพที่เห็นเมื่องูเขียวเลื้อยออกมา คือจิ้งจกโชคร้ายตัวนั้นกำลังค่อย ๆถูกกลืนเข้าไปในลำคองู แม้มันจะพยายามดิ้น แต่ยิ่งดิ้นร่างเปื้อนสีเลือดก็ลงลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนงูขย้อนเหยื่อทั้งตัวลงจนหมด

งูเคลื่อนไหวช้าลง จากท้องอันอิ่มแปร้ และค่อย ๆ เลื้อยหายวับเข้าไปในโพรงไม้นั้น

ความนิ่งสงบเคยช่วยชีวิตจิ้งจก และความเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวก็พรากชีวิตมันไป

……………………

 

ณ ที่แห่งหนี่ง กลางสายฝนอันโปรยปรายลงมา

ซามูไรสองคน ยืนประจันหน้ากัน ทั้งสองกุมดาบในฝัก พร้อมจะกระชากดาบออกมาได้ทุกเมื่อ

ทั้งคู่ไม่เคลื่อนไหว ไม่ย่างเท้า หยุดนิ่งในท่วงท่าตั้งรับอันรัดกุมและจ้องตากันแทบไม่กระพริบอยู่นาน

นิ่งจนไม่ใส่ใจที่จะปาดน้ำฝนไหลย้อยใบหน้า

นานจนสายฝนจางหายไป

ทั้งคู่ยืนประจันหน้ากันนับชั่วโมง ราวรูปปั้น

 

ทันใดนั้น ซามูไรคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว ตัดสินใจกระชากดาบออกจากฝัก เงื้อแขนตั้งใจฟันคู่ต่อสู้ตรงที่หมายตาไว้อย่างรวดเร็ว

แต่อีกฝ่ายที่ยืนนิ่งมาตลอด กลับรวดเร็วกว่า มีสมาธิมากกว่า เพียงพลิกกายหลบคมดาบ และชักดาบแทงสวนปักคาอกศัตรู

จนมองแทบไม่ทัน

ฝ่ายที่เงื้อดาบก่อน กลับกลายเป็นเปิดจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้ แม้เพียงเสี้ยววินาที ก็พ่ายแพ้ทันตา

คนที่เคลื่อนไหวก่อนล้มลงตายคาที่ ขณะที่อีกคนที่นิ่งกว่า นำดาบกลับสู่ฝัก และยืนนิ่งสงบ

ดาบซามูไร แพ้ชนะเพียงดาบเพลงเดียว

 

คนที่ชิงเคลื่อนไหวก่อน มักเผยจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้

ใครอดทน นิ่งสงบกว่าย่อมเห็นชัยชนะในบั้นปลาย

ชีวิตจริงของคนเรา บางครั้งการตั้งรับด้วยอาการอันสงบนิ่งสามารถสยบความเคลื่อนไหวได้

อยู่ที่จะอดทนพอหรือไม่

โดยเฉพาะในสถานการณ์อันวิกฤติ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s