การเดินทางข้ามทะเลทรายท่ามกลางความร้อนแรงและความแห้งแล้ง เป็นประสบการณ์อันล้ำค่าของชีวิต
หลายเดือนก่อนผู้เขียน โดยสารรถข้ามทะเลทรายกลางประเทศอิหร่าน สองข้างทางเป็นผืนทรายสีน้ำตาลสุดลูกหูลูกตา
เห็นขุนเขาสีเทาอยู่ไกลลิบ ๆ
สักพักหนึ่งท้องฟ้ามืดครึ้ม มองไปข้างทางเห็นเมฆสีดำทมึนค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามา ตอนแรกนึกว่าเป็นเมฆกำลังก่อตัวเป็นพายุฝน แต่คนขับรถบอกว่า ไม่ใช่ นั่นคือพายุทะเลทราย
ลมพายุทะเลทรายค่อย ๆ พัดเข้ากลางถนน ความเร็วและแรง ของรถและพายุ ทำให้รถสั่นไหว และความมืดเข้าปกคลุมชั่วขณะ อึดใจหนึ่งพายุทะเลทรายก็ผ่านพ้นไป
เป็นประสบการณ์ความตื่นเต้นมิรู้ลืมระหว่างทางที่ดั้นด้นมาเยี่ยมเยียนสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่สุดในโลกกลางทะเลทราย
ที่ยังไม่หยุดเจริญเติบโต
ระหว่างทางเราแวะพักเมืองยาซ์ด Yazd เมืองโบราณสำคัญที่นักเดินทางสมัยก่อนรู้จักดี เป็นเมืองผ่านทางของ Silk Road เส้นทางการค้าเก่าแก่กลางทะเลทราย ได้ชื่อว่าแห้งแล้งที่สุด ด้วยปริมาณน้ำฝนมากสุดคือ 2.4 นิ้ว
มาร์โค โปโล เคยบันทึกว่า
“นี่คือเมืองที่งามสง่า และการค้าเฟื่องฟูมาก ชาวเมืองมีอาชีพทอผ้าไหมชนิดพิเศษเรียกว่า ยาซดี ซึ่งเหล่าพ่อค้าจะขนย้ายไปขายตามที่ต่าง ๆ”
เรามักสงสัยว่า คนโบราณอาศัยอยู่ได้อย่างไร ในภูมิอากาศอันร้อนแรงของแสงแดด แห้งแล้ง และขาดน้ำ
เราพบว่า ชาวอิหร่านมีภูมิปัญญาสามารถปรับตัวและคิดค้นเทคโนโลยีให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติกลางทะเลทรายได้อย่างน่าทึ่งมานับพันปีแล้ว
บ้านในเมืองยาซ์ดล้วนทำด้วยอิฐดิน มักจะมีชั้นใต้ดิน ขุดลึกลงไปให้มากที่สุด เพราะอุณหภูมิใต้ดินจะเย็นมากกว่าผิวดิน จึงเป็นเหมือนแอร์หรือพัดลมธรรมชาติ
เพื่อนชาวอิหร่านเชื้อเชิญเราไปทานน้ำชาบ้าน พอเข้าไปบริเวณบ้าน เราไม่ได้เดินขึ้นบ้าน แต่เดินลงไปชั้นใต้ดินลึกที่ขุดลึกลงไปหลายเมตร ลานหน้าบ้านปลูกต้นไม้ มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง ถัดไปเป็นบ้านทำด้วยอิฐดิน แบ่งเป็นหลายห้อง อากาศเย็นสบายกว่าผิวดินจริง ๆ
เขาบอกเราว่า ห้องเก็บอาหารอยู่ลึกลงใต้ดินไปอีก อากาศเย็นขึ้นช่วยถนอมอาหารได้ดี
เช่นเดียวกัน หากเรารู้จัก Dream Catcher เครื่องดักฝันของชาวอินเดียน เป็นตาข่ายรูปวงกลมเล็ก ๆผูกไว้เหนือเปลเด็ก
เป็นความเชื่อเพื่อดักฝันดีและปล่อยฝันร้ายให้หลุดลอยไป
ในเมืองแห่งนี้ก็มี Wind Catcher หรือ หอดักลม Badgir
เราเดินขึ้นไปสังเกตหอดักลมชั้นบนของโรงแรมสามชั้นที่พักคืนนั้น มองออกไปรอบ ๆ เห็นหอดักลมบนหลังคาบ้านเรือนเต็มไปหมด หน้าตาเหมือนปล่องไฟมีเสาเล็ก ๆวางรายลอบเหมือนช่องลูกกรง นี่คือหอดักลม เมื่อลมผ่านลงมาจะไหลลงมาในบ้าน บางครั้งจะพัดผ่านน้ำพุลานบ้าน ช่วยลดอุณหภูมิทำให้อากาศในบ้านเย็นสบายเหมือนแอร์ธรรมชาติ
ปล่องลมยิ่งสูง ยิ่งดักอากาศได้ดี
แต่ขาดความเย็นอย่างไรก็ทรมานสู้ขาดน้ำไม่ได้ อันเป็นปัญหาใหญ่ของเมืองกลางทะเลทราย จากปริมาณฝนอันน้อยนิด
คนอิหร่านเมื่อสองพันกว่าปีก่อน มีชื่อเสียงในการจัดการน้ำใต้ดินให้ขึ้นมาหล่อเลี้ยงผู้คนกลางทะเลทรายได้อย่างดีเยี่ยม และยังเหลือเฟือพอจะมาทำการเกษตรได้อีกต่างหาก
พวกเขาสร้างระบบอุโมงค์น้ำใต้ดิน (Qanat) โดยขุดแหล่งน้ำที่มีตาน้ำอยู่ระหว่างชั้นหินใต้ดินใกล้ผิวดิน และลำเลียงตามท่อใต้ดินไหลไปตามแรงโน้มถ่วงจนถึงที่รับน้ำปลายทาง อาจเป็นสระน้ำ น้ำพุ หรือแท้งค์น้ำในเมือง หรือตามเรือกสวน โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องปั๊มน้ำแต่อย่างใด
อุโมงค์น้ำใต้ดินกระจายไปทั่วประเทศ มีการพบว่า ระบบน้ำใต้ดินโยงใยเชื่อมโยงกันมากกว่า 50,000 แห่ง เกินครึ่งหนึ่งแม้จะมีอายุนับพันปี แต่ก็ยังใช้การได้จนถึงปัจจุบัน
ความรู้ของคนอิหร่านเมื่อหลายพันปีก่อน ยังทันสมัยและมีประโยชน์ต่อการอยู่รอดกลางทะเลทรายของพวกเขา
จากเมืองยาซ์ด เรามุ่งหน้าไปเมืองอบาร์คูห์ เมืองเล็ก ๆ เพื่อแวะชมโรงเก็บน้ำแข็ง หรือ Yakhchal อายุนับพันปีที่ยังใช้การได้
รูปทรงภายนอกเป็นอาคารรูปโดม หรือทรงกรวยคว่ำขนาดใหญ่ก่อสร้างด้วยอิฐดินแทรกด้วยไม้อย่างหนาเพื่อความยืดหยุ่น
พอเดินฝ่าความร้อนเข้าไปภายในรู้สึกได้ถึงความเย็นภายในราวกับติดแอร์เย็น ด้านบนสุดเปิดโล่ง เพื่อระบายอากาศร้อนที่ลอยขึ้นมา
ภายในเป็นพื้นโล่งเป็นแอ่งเก็บน้ำแข็ง ในหน้าหนาวอากาศภายในเย็นจัด ทำให้น้ำที่เก็บไว้ภายในกลายเป็นน้ำแข็ง ผนังอาคารหนาทึบ เป็นฉนวนกันความร้อนช่วยรักษาอุณหภูมิความเย็นของน้ำแข็งให้คงสภาพไว้ได้นาน จนกลายเป็นตู้เย็นยักษ์กลางหมู่บ้าน ชาวบ้านคนใดอยากใช้น้ำแข็งก็เข้ามาตักได้ หรือนำอาหารมาแช่กันบูดเหมือนแช่ตู้เย็น
ความรู้สึกในการมาเยือนทะเลทราย จึงมีสองด้านตลอดเวลาคือ ภายนอกร้อนรุ่ม ภายในเย็นสบาย
แต่เมื่อเดินไปสักพักเพื่อจุดประสงค์การเดินทางครั้งนี้ รู้สึกถึงความร่มเย็น
ต่อหน้าเราคือต้นสน cypruss ขนาดใหญ่ มีชื่อว่า Abarkooh Cypress เป็นสนไซเปรสชนิด Cupressus sempervirens
สูง 25 เมตร เส้นรอบวงประมาณ 11 เมตร และแผ่กิ่งก้านออกมา 18 เมตร
ต้นสนไซเปรสยักษ์นี้คาดว่ามีอายุเก่าแก่มากกว่า 4,000-5,000 ปี
ไม่น่าเชื่อว่า กลางทะเลทรายอันสุดแห้งแล้ง กลับมีต้นไม้ใหญ่ยืนหยัดมาได้อย่างงามสง่า ให้ความร่มเย็นแก่สิ่งมีชีวิตรอบ ๆ มาตลอดหลายพันปี จนแทบจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่สุดที่ยังเจริญเติบโตต่อไป
เรายืนดูยักษ์ใหญ่ใจดีท่านนี้ด้วยความรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
ท่านผู้เฒ่าคงผ่านโลกมายาวนานจริง ๆ เห็นตั้งแต่มนุษย์ยังไม่มีอารยธรรมใด ๆ เห็นความรุ่งเรือง ความล่มสลาย เห็นสงคราม เห็นความสงบ ของผู้คนหลายยุคสมัย
ผู้คนมากมายเปลี่ยนแปลงไปตามอายุขัย แต่ท่านผู้เฒ่ายังอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม เป็นร่มเงาให้ผู้คนมาตลอดไม่ว่าจะเป็นผู้ใด
ทำให้เราคิดถึงสุภาษิตของกรีกบทหนึ่งว่า
“สังคมจะรุ่งเรือง ถ้าคนแก่ปลูกต้นไม้ สร้างร่มเงาให้เด็กๆ โดยไม่คิดจะเข้าไปนั่งเอง”
สักพักลมพัด ใบไม้ต้นไซเปรสพลิ้วไหวไปตามลมเหมือนคลื่นสีเขียว ถลาแล่นไปด้วยความเบิกบาน
ยิ่งจ้องมอง ยิ่งปิติ
ขอขอบคุณ
สำนักพิมพ์วงกลม
คุณากร วาณิชย์วิรุฬห์