ไฟป่าออสเตรเลีย กับการสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่ 6

 

d9d5c5ce-8b29-4d3b-a70a-b207f0ed3179-getty-1197103171

 

เปลวไฟมหึมาที่เผาผลาญผืนป่าทั่วทวีปออสเตรเลีย โดยเฉพาะในรัฐนิวเซาท์เวลส์ และรัฐวิกตอเรีย ที่เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงวันนี้ยังไม่ดับ สร้างความตื่นตะลึงให้กับคนทั้งโลกว่าเกิดอะไรขึ้น

พื้นที่ถูกไฟป่าเผามีขนาด 13 ล้านเฮกตาร์  ประมาณ 130,000 ตารางกิโลเมตร หรือ 1ใน 4 ของพื้นที่ประเทศไทย

ถือเป็นหายนะการทำลายธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี มากกว่าไฟป่าในป่าอะเมซอนทวีปอเมริกาใต้เมื่อไม่นานมานี้

ไม่ใช่เฉพาะต้นไม้ที่โดนพระเพลิงล้างผลาญ แต่สัตว์จำนวนมากหนีไฟไม่ทัน หรือไม่รู้จะหนีไปทางไหน สุดท้ายบาดเจ็บล้มตายในกองเพลิงอย่างน่าอนาถเกือบ 500 ล้านตัว

สัตว์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังซึ่งเคลื่อนที่ช้า อาทิ แมลง หอยทากนานาชนิด แม้แต่สัตว์บกก็แทบจะไม่มีโอกาสรอด หรือนกก็ไม่สามารถบินหนีไฟได้ง่าย ๆ เพราะไม่เหลือต้นไม้ให้จับคอน สร้างรัง และหาอาหารอีกต่อไป

ออสเตรเลียเป็น 1 ใน 17 ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในระดับสูงอย่างยิ่งยวด การสูญเสียครั้งนี้จึงเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมาก

นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองว่า เหตุการณ์ไฟป่าในออสเตรเลียครั้งนี้เป็นการตอกย้ำการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพืชและสัตว์อย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ ว่าได้ก้าวไปสู่การสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่ 6 (the sixth mass extinction) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อะไรคือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่

 

การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เมื่ออุบัติขึ้นแล้ว คือหายนะของจริง ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ พืช สัตว์ แทบทุกชนิดต้องสูญพันธุ์ราว 3 ใน 4 ของชนิดพันธุ์หรือสปีชีส์ที่มีอยู่ทั้งหมด “ในระยะเวลาอันสั้น” ซึ่งในทางธรณีกาล (geologic time) หมายถึงไม่เกิน 2.8 ล้านปี

คือเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว แทบจะล้างโลกกันทีเดียว

ที่ผ่านมาประมาณ 4,500 ล้านปี ของอายุของโลกใบนี้ ผ่านการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่มาแล้วห้าครั้ง

เมื่อประมาณ 540 ล้านปีก่อน ในยุคแคมเบรียน สิ่งมีชีวิตในทะเลได้เริ่มแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มีชนิดพันธุ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย

จนกระทั่งการสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งแรกเกิดเมื่อประมาณ 450 ล้านปีในปลายยุคออร์โดวิเชียน

สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ยังมีวิวัฒนาการอาศัยอยู่ในน้ำ สูญพันธุ์ไป 60-70 เปอร์เซนต์

สาเหตุจากเป็นยุคน้ำแข็งปกคลุมทั่วโลก น้ำทะเลกลายเป็นก้อนน้ำแข็งยักษ์ ทำให้น้ำทะเลลดระดับลงไปร่วมร้อยเมตร

สิ่งมีชีวิตในน้ำจึงแทบจะสูญพันธุ์

 

ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ 360 ล้านปี ในปลายยุคเดโวเนียน

สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในน้ำหายไป 70 เปอร์เซนต์

ปะการังสูญพันธุ์เกือบหมด นักวิทยาศาสตร์คาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ

 

แต่การสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่สามถือว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุด เกิดตอนสิ้นยุคเพอร์เมียนประมาณ 250 ล้านปี

ได้ฉายาว่า เป็นมารดาแห่งการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่

ชนิดพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตหายไปถึง 97 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะแมลงยักษ์และหอยไทโรไบค์

สาเหตุมาจากการระเบิดของภูเขาไฟยักษ์ในไซบีเรีย

หรืออุกาบาตชนโลก ทำให้เกิดวิกฤติโลกร้อน

 

ครั้งที่สี่เกิดในสมัยจูแรสสิกเมื่อ 200 ล้านปี

ภูเขาไฟใต้น้ำระเบิดครั้งใหญ่ตอนกลางของมหาสมุทรแอตแลนติก

เกิดภาวะโลกร้อน สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครึ่งหนึ่งหายไป

และทำให้ไดโนเสาร์แพร่พันธุ์ครองโลก

 

การสูญพันธุ์ครั้งที่ห้า น่าจะเป็นที่รู้จักของคนมากที่สุด

เกิดในยุคครีเตเชียส เมื่อ 65 ล้านปีก่อน จากอุกาบาตรชนโลกบริเวณอ่าวเม็กซิโก  ได้ทำให้เกิดเชื้อไฟกระจัดกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ นักวิทยาศาสตร์พบเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ปริมาณมหาศาลในฟอสซิลจากยุคนี้ อันเป็นหลักฐานชี้ว่าเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ซึ่งลุกลามครอบคลุมพื้นที่ป่าส่วนมากของโลก

สิ่งมีชีวิตประมาณ 75% สูญพันธุ์ทันที รวมถึงไดโนเสาร์ทุกชนิดบนโลกหายวับไป

หลังจากไฟป่าเผาผลาญจนเกิดทำให้ฝุ่นปกคลุมโลกเป็นเวลานาน แสงแดดส่องลงมาไม่ถึง อากาศหนาวเย็นผิดปกติติดต่อกันอีกนาน เรียกว่า เหมันตนิวเคลียร์ nuclear winter เพราะ สัตว์ที่รอดจากไฟป่าก็ล้มตายด้วยความหนาวเย็นจนสูญพันธุ์ไปอีกจำนวนมาก

 

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การสูญพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของการวิวัฒนาการ

เพราะเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้

อาทิ หากไดโนเสาร์ผู้เคยครองโลกมาหลายร้อยล้านปีไม่สูญพันธุ์

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและมนุษย์

ก็จะไม่มีโอกาสแจ้งเกิดมาเป็นเจ้าโลกนี้แทนได้

นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นทุก100 ล้านปี  จากเหตุภัยทางธรรมชาติ  ภูเขาไฟระเบิดรุนแรง

อุกาบาตพุ่งชนโลก ฯลฯ

แต่การสูญพันธุ์ใหญ่ล่าสุดมาเร็วกว่าที่คิด

ปัจจุบันนี้ โลกกำลังก้าวสู่การสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งที่หก

สาเหตุหลักไม่ได้มาจากธรรมชาติ

แต่มาจากน้ำมือของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่

ที่น่าตกใจคือ การสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตครั้งนี้

มีอัตราการทำลายล้างสูงมากกว่าในอดีตถึง 100-10,000 เท่า

สาเหตุมาจากคือการไล่ล่าของมนุษย์ การทำลายป่า

ปัญหามลพิษโลก และปัญหาโลกร้อนที่ทำให้เกิดความแห้งแล้ง และอุณหภูมิสูงผิดปกติ

ที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และพืช อย่างน้อย 3 ใน 4 ที่มีอยู่ทั้งหมด

ต้องสูญพันธุ์และหายไปจากโลกใบนี้

ในช่วงเวลาเพียง 40 ปีที่ผ่านมา

มนุษย์ทำลายสิ่งมีชีวิตจนสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ไปถึงร้อยละ 50

นั่นหมายความว่าก่อนจะเข้าสู่ศตวรรษที่ 22

โลกของเราอาจไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่ นอกจากมนุษย์

 

หายนะมารอเราอีกไม่นาน

ไฟป่าออสเตรเลียคือสัญญาณบอกเหตุล่าสุด

31ozf-fires-kangaroo-mobileMasterAt3x-v2

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s