
เมื่อหลายปีก่อน เกิดพายุไซโคลนพัดถล่มประเทศพม่าจนเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
รัฐบาลทหารพม่าไม่อนุญาตให้องค์กรต่างประเทศเข้าไปช่วยเหลือเด็ดขาด
แต่ความจริงมีองค์กรต่างประเทศแห่งหนึ่ง
ได้พูดจาทำความเข้าใจกับทางการพม่า
จนสามารถเข้าไปช่วยผู้ประสบภัยได้อย่างเงียบ ๆ เป็นรายแรก
หลายคนเคยอาจได้ยินชื่อมูลนิธิพุทธฉือจี้ ในประเทศไต้หวัน
มูลนิธิพุทธฉือจี้เป็นขบวนการด้านมนุษยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีอาสาสมัครกระจายอยู่ทั่วโลกมากกว่า 5 ล้านคน คอยช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติ
ตั้งแต่กรณีแผ่นดินไหวในประเทศจีน หรือผู้ประสบภัยจากเหตุสึนามิ ในเอเชีย
ไปจนถึงการไปช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับผู้หิวโหยในทวีปแอฟริกา และในทวีปอเมริกาใต้
จนอาจกล่าวได้ว่า เป็นองค์กรระดับโลกรอง ๆจากองค์การกาชาดสากลเลยทีเดียว
ทุกวันนี้มูลนิธิพุทธฉือจี้ มีอาสาสมัครตั้งแต่เศรษฐีหมื่นล้าน
ไปจนถึงชาวบ้านที่พร้อมจะใช้เวลาว่างมาใช้แรงงาน เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ไม่นับรวมการบริจาคเงินที่ทำให้มีเงินบริจาคจากทั่วโลกปีละหลายหมื่นล้านบาท
คนเหล่านี้มีทั้งผู้บริหารบริษัทข้ามชาติ นายธนาคาร วิศวกร นายแพทย์
ผลัดกันมาทำงาน เป็นที่ปรึกษาให้กับมูลนิธิแห่งนี้
จนทำให้มูลนิธิสามารถดำเนินกิจการได้อย่างก้าวหน้า
และมีการจัดการอันทันสมัยระดับโลก
แต่ในขณะเดียวกัน อาสาสมัครเหล่านี้จะมีลักษณะอ่อนน้อมถ่อมตน
มาทำงานอย่างเงียบ ๆ และกลับไปอย่างเงียบ ๆ
ไม่หวังลาภยศสรรเสริญ หรือเหรียญตราอันใด
เพราะความสุขอันแท้จริงของเขาคือได้ช่วยเหลือผู้อ่อนด้อยกว่าในสังคม
ตามคำสั่งสอนของพุทธมหายาน
ที่เชื่อว่าการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ยากคือภารกิจสำคัญของชาวพุทธ
อาสาสมัครเหล่านี้หลายคนพกพาสปอร์ตติดตัวเสมอ
เผื่ออาจจะต้องเดินทางทันทีเมื่อเกิดเหตุร้ายในโลกนี้
ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสไปดูงานมูลนิธิแห่งนี้ที่ประเทศไต้หวัน
ทำให้รู้ว่า ก่อนที่มูลนิธิฉือจี้จะออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในต่างประเทศนั้น
มูลนิธิแห่งนี้ได้ช่วยเหลือคนยากคนจนในไต้หวันมาตลอดระยะเวลา 40 ปี
โดยเฉพาะด้านการรักษาพยาบาล ให้การศึกษาแก่ผู้ยากไร้
และมีสถานีโทรทัศน์เป็นของตัวเอง
เราพบว่ามูลนิธิแห่งนี้ได้ก่อตั้งโรงพยาบาลทันสมัยขนาดพันเตียงขึ้นหลายแห่งทั่วประเทศ
และก่อตั้งมหาวิทยาลัย มีคณะแพทย์ศาสตร์คอยผลิตแพทย์
ที่สอนให้เมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก ปฏิบัติกับคนจนไม่ต่างจากคนรวย
ในขณะเดียวกันก็ได้ชื่อว่าเป็นคณะแพทย์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยแห่งหนึ่งในเอเชีย
ไม่น่าเชื่อว่ามูลนิธิเแห่งนี้เกิดจากคนตัวเล็ก ๆไม่กี่คน
เมื่อสี่สิบปีก่อนภิกษุณีท่านหนึ่งชื่อ ท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ได้พบกองเลือดระหว่างทาง
จึงสอบถามชาวบ้านว่าเป็นเลือดผู้ใด ได้รับคำตอบว่า
เป็นเลือดของหญิงชาวเขาคนหนึ่งที่แท้งลูกตาย เพราะเจ็บท้องใกล้คลอด
ต้องเดินทางไกลมาโรงพยาบาล แต่หมอไม่ยอมรักษา
เพราะคนป่วยไม่มีเงิน จึงเดินทางกลับและแท้งลูกกลางทาง
ท่านเจิ้งเหยียนได้ฟังด้วยความเวทนา จึงตั้งปณิธานว่าจะสร้างโรงพยาบาลเพื่อคนจนขึ้นมาให้ได้
โดยร่วมมือกับแม่บ้านแถวนั้นอีก 30 คน เที่ยวไปบอกบุญขอรับบริจาคเงินจากประชาชน
จากปากต่อปากเป็นเวลาหลายปี ผู้คนได้เห็นความตั้งใจจริงของท่านเจิ้งเหยียนและขบวนการแม่บ้าน
จนสามารถสร้างโรงพยาบาลขนาดใหญ่ขึ้นสำเร็จเป็นแห่งแรก และสร้างต่อมาอีก 4 แห่ง
ไม่เพียงเท่านั้น ท่านยังสร้างโรงเรียน มหาวิทยาลัย พิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่โต มีคุณภาพสูงหลายแห่ง
เพื่อให้การศึกษากับบุตรหลาน ให้เป็นคนดีมีคุณธรรมในสังคม
อันที่จริงชาวไทยพุทธก็สามารถบอกบุญหาเงินบริจาคกันได้มาก
แต่น่าเสียดายที่เงินส่วนใหญ่มักไปสร้างโบสถ์ วิหารขนาดใหญ่อลังการ
มากกว่าจะมาสร้างโรงพยาบาล หรือโรงเรียน
คนไทยหลายคนยังเชื่อว่า การทำบุญกับพระ หรือทำบุญให้วัด ให้กับผู้มีบุญ
จะช่วยส่งผลบุญให้คนทำบุญ
แต่หากไปให้ทาน หรือทำบุญกับคนยากคนจน คนเหล่านี้ไม่ใช่คนมีบุญ
ทำบุญกับคนเหล่านี้จึงเรียกว่า ทำบุญไม่ขึ้น สู้ทำบุญกับพระกับวัดไม่ได้
แต่พอไปดูสำนักหรืออารามฉือจี้ที่เมืองฮวาเหลียน กลายเป็นสำนักเล็ก ๆ ไม่ได้ใหญ่โตสมฐานะ
เหมือนเจ้าอาวาสวัดในบ้านเรา
เตียงนอนของท่านเจิ้งเหยียน ก็เป็นเตียงไม้เก่า ๆที่ใช้งานมาสี่สิบกว่าปี
ที่สำคัญคือบรรดาภิกษุณีหรือผู้ปฏิบัติธรรมในอารามต้องตื่นแต่เช้ามาทำงาน ปลูกผัก ปลูกข้าว กันเอง
ตามคติของท่านเจิ้งเหยียนที่ว่า
“ไม่ทำงาน ก็ไม่มีกิน”
ส่วนเงินบริจาคนับหมื่นล้านในแต่ละปี จะตรงไปสู่การทำกุศลทั้งสิ้น
จะมีการทำบัญชีชัดเจนว่าใช้ในกิจการสังคมสงเคราะห์งานใด
รายได้ไม่มีการแบ่งประเภทวัดครึ่ง กรรมการครึ่งแบบบ้านเราเด็ดขาด
วันต่อมาผมไปดูศูนย์เก็บขยะรีไซเคิ้ล
และนับถือใน “จิตอาสา” ของชาวไต้หวัน ยิ่งนัก
แต่ละวันจะมีอาสาสมัครขับรถบรรทุกออกไปเก็บขยะตามจุดต่าง ๆ ที่คนไต้หวันนำมาทิ้ง
แต่เขาจะมีกติกาว่า ทุกคนต้องแยกขยะก่อนนำมาทิ้ง
และเขาจะรู้กันว่า วันไหนรถขยะจะมาเก็บขยะประเภทใด
อาทิ วันจันทร์เก็บเฉพาะขยะพลาสติก วันพุธเก็บเฉพาะกระดาษ ฯลฯ
หลังจากนั้นรถบรรทุกจะเอาขยะมากองไว้ที่ศูนย์เก็บขยะ อันเป็นที่ดินที่มีคนบริจาคให้กับมูลนิธิฉือจี้
และจะมีอาสาสมัครตั้งแต่เด็ก ๆ คนทำงานบริษัท แม่บ้าน เอามือมาช่วยแยกขยะอย่างไม่รังเกียจ
เพื่อนำไปขายต่อให้กับพ่อค้าเพื่อนำไปรีไซเคิ้ลต่อไป
เชื่อไหมว่ารายได้จากกองขยะเหล่านี้ที่กระจายอยู่ทั่วไต้หวัน
สามารถนำมาเป็นเงินทุนส่วนหนึ่งที่สร้างสถานีโทรทัศน์ ต้าอ้าย ของมูลนิธิพุทธฉือจี้ได้สำเร็จ
เป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีอิทธิพลสูงสุดแห่งหนึ่งเมื่อเทียบกับสถานีโทรทัศน์นับร้อยช่องในประเทศ
และออกอากาศผ่านดาวเทียมไปทั่วโลก
อาสาสมัครที่มาแยกขยะ เชื่อมั่นว่างานที่เขาทำ ไม่ใช่งานอันต่ำต้อย
ช่วยทำให้เกิดรายการดี ๆ ให้คนในโลกดู เป็นการให้การศึกษาที่กว้างไกลที่สุด
คณะที่เดินทางร่วมไปไต้หวัน มีอาสาสมัครฉือจี้ที่เป็นคนไทยด้วย
ผมมาทราบตอนหลังว่า อาสาสมัครท่านนี้เป็นนักธุรกิจระดับพันล้านในเมืองไทย
เคยชอบเล่นการพนัน ท่านบอกว่าแต่ก่อนเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่เคยยอมใคร
ไม่เคยไหว้ใครก่อน ตามวิสัยผู้มีอำนาจวาสนา
แต่วันหนึ่งได้ดูรายการโทรทัศน์ของฉือจี้ผ่านดาวเทียม เห็นกิจกรรมที่ทำแล้วน่าสนใจ
จึงเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยทำงาน ผ่านไปได้หลายปี ตอนนี้ชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว
เลิกเล่นการพนัน ใจเย็นขึ้น สามารถยกไหว้ผู้ต่ำต้อยกว่าได้สนิทใจ
ชาวพุทธฉือจี้ถือคติที่ว่า “ยิ่งทำงานหนัก ตัวตนยิ่งเล็กลง ”
สวนทางกับชาวไทยที่ “ยิ่งทำงาน ตัวตนยิ่งใหญ่ขึ้น”
จนใหญ่คับบ้านคับเมืองกันให้วุ่นวายถึงทุกวันนี้