เหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
คือ เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519
การสังหารโหดนักศึกษาและประชาชนภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เวลานั้นผมอายุ 15 ปี เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก
ผมคุ้นเคยกับธรรมศาสตร์ดี
เดินเข้าออกมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เกือบทุกอาทิตย์ ด้วยเหตุว่า
ที่นี่เป็นสวรรค์ของเด็กทำกิจกรรม
ผมมาธรรมศาสตร์ครั้งแรกหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เมื่อองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดนิทรรศการ “จีนแดง” ขึ้นที่หอประชุมใหญ่
เพื่อเผยแพร่ความคิดสังคมนิยม อุดมการณ์ทางการเมืองแบบมาร์กซิสต์ เลนินนิสต์ เหมาอิสต์
ในงานนั้นมีหนังสือฝ่ายซ้ายพิมพ์ออกมามากมาย โฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์
และบทกวีหลายชิ้นของจิตรได้รับการเผยแพร่
คัมภีร์เหมาเจ๋อตง หนังสือปกสีแดงเล่มเล็กซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการใช้ชีวิตที่นักศึกษาฝ่ายซ้ายต้องพกไว้ในย่ามตลอดเวลา
และหนังสือหัวก้าวหน้าอีกมากมายวางขายกันเกลื่อน
ขณะที่ในหอประชุมมีการแสดงดนตรีของวง “ท. เสนและสัญจร”
ซึ่งต่อมากลายเป็น “คาราวาน”
วงดนตรีเพื่อชีวิตวงแรกของไทย
ช่วงนั้นผมแวะเวียนมาร่วมกิจกรรม ประชุมกับพี่ๆ นักศึกษาโดยตลอด บรรยากาศตอนนั้นนักศึกษาส่วนใหญ่แทบไม่ค่อยเข้าห้องเรียน ชาวนา ชาวไร่ กรรมกร เดินเข้าออกมหาวิทยาลัยตลอดเวลา
ร่วมกันคิดร่วมกันฝันว่า
“เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
แม้ว่าจะเริ่มสนใจแนวคิดฝ่ายซ้าย
อ่านหนังสือ แคปิตะลิสม์ ของ สุภา ศิริมานนท์ นวนิยายเรื่อง แม่ ของ แมกซิม กอร์กี้ ไปจนถึง ปรัชญาชีวิต ของ คาลิล ยิบราน
แต่ผมยังจำได้ดีว่าตัวเองชอบไปเดินเลียบทางเดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เพื่อดูชาวบ้านงมกุ้งก้ามกรามตัวโต
อันเป็นดัชนีชี้วัดว่าสมัยนั้นแม่น้ำเจ้าพระยาสะอาดเพียงใด
จนกระทั่งเมื่อจอมพล ถนอม กิตติขจร
ผู้ถูกบังคับให้ออกนอกประเทศภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ได้บวชเป็นสามเณรกลับเข้าประเทศ
ก่อให้เกิดการประท้วงของนักศึกษาประชาชนไปทั่ว และรุนแรงขึ้น
จากเหตุการณ์ช่างไฟฟ้า 2 คนที่จังหวัดนครปฐมถูกฆ่าแขวนคอ
ขณะออกไปติดโปสเตอร์ต่อต้านการกลับมาของเณรถนอม
ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) นัดชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวง บรรดากลุ่มกระทิงแดงอันเป็นกลุ่มอันธพาลการเมือง เข้ามาก่อกวนอย่างหนักถึงขนาดเอางูมาปล่อยในที่ชุมนุม
ในที่สุดแกนนำคนหนึ่งซึ่งหากจำไม่ผิดคือ ธงชัย วินิจจะกูล ตอนนั้นอยู่ปี ๒ ม. ธรรมศาสตร์ ประกาศว่า
หากสนามหลวงไม่อาจคุ้มครองเราได้ ขอให้พวกเราย้ายไปชุมนุมที่ลานโพ พอพูดจบบรรดาการ์ดก็รื้อเวที
ช่วยกันเข็นถังน้ำมันขนาด 200 ลิตรหลายสิบถังที่ใช้เป็นฐานรองเวที ผ่านหน้าเราไปตั้งเวทีใหม่ในธรรมศาสตร์
พจนา จันทรสันติ นักเขียนเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่มาร่วมชุมนุม พูดด้วยความตกใจว่า
เสียงเข็นถังน้ำมัน เหมือนเสียงสายพานลำเลียงของรถถังไม่มีผิด
ราวกับเป็นลางสังหรณ์
ผมเองไม่ทันคิดอะไร ยังร่วมร้องเพลง “สู้ไม่ถอย” พร้อมๆ กับผู้คนต่างทยอยเดินไปร่วมชุมนุมที่ลานโพ
จนล้นมาถึงสนามฟุตบอล และวันต่อมาก็ต้องย้ายเวทีมาที่สนามฟุตบอล
เพราะลานโพดูจะเล็กเกินไปเสียแล้ว
ทุกเย็นหลังเลิกเรียน ผมจะมาร่วมชุมนุมจนรถเมล์เที่ยวสุดท้ายถึงได้กลับบ้าน เรื่อยมาถึงคืนวันที่ 5 ตุลาคม2519
สถานการณ์เลวร้ายลง มีการปล่อยข่าวว่าจะมีการทำรัฐประหาร
จะมีการล้อมปราบนักศึกษา บรรดาการ์ดต่างวางแผนรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งเครียด
ผมนั่งอยู่ในสนามฟุตบอลจนใกล้เที่ยงคืน ได้พบพี่สาวคนโต (มด วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์) เธอไล่ให้ผมกลับบ้านเพราะไม่ปลอดภัย
เวลานั้นผมคิดจะกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดนักเรียนเพื่อจะกลับมาร่วมชุมนุมใหม่ แต่พอกลับเข้าบ้านได้พ่อแม่ก็ไม่ยอมให้ออกจากบ้านเด็ดขาด ถึงขนาดใช้เข็มขัดเฆี่ยนตีด้วยความเป็นห่วง
ขณะที่ลูกสาวคนโตยังไม่กลับบ้าน
ตอนสายวันที่ 6 ตุลาคม มีรายงานข่าวทางโทรทัศน์ช่อง 4 (ช่อง 9 ปัจจุบัน) เพียงช่องเดียวว่ามีการล้อมปราบนักศึกษาอย่างโหดร้ายที่สุด
มีข่าวลือหนาหูว่าร่างนักศึกษาหลายคนที่โดนยิงตายถูกแทงปอด
และทิ้งลงทะเลที่ชลบุรี
ตกเย็นพวกผู้นำทหารทำรัฐประหาร ประกาศเคอร์ฟิวไม่ให้คนออกจากบ้านหลังเที่ยงคืน
สิ่งที่ผมคิดได้ขณะนั้นคือต้องออกตามหาพี่สาวและเพื่อนหลายคนว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ น้ำตาไหลคิดถึงคนรู้จักว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
วันรุ่งขึ้นผมและเพื่อนออกตระเวนตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อตามหาผู้รอดชีวิต ไม่ก็ไปดูศพผู้เสียชีวิตว่าเป็นคนรู้จักหรือไม่
ผมนั่งรถเมล์ไปสังเกตการณ์หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทหารถือปืนกันคนไม่ให้เข้าไป
ผมเดินต่อไปยังท้องสนามหลวง
เห็นคนมุงซากยางรถยนต์ไหม้ซึ่งควันยังกรุ่น เห็นสิ่งของคล้ายกระดูกโผล่มาจากตรงนั้นจึงรู้ว่ามีคนถูกเผานั่งยาง
เย็นนั้นนั่งรถเมล์มาที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน (สโมสรตำรวจในปัจจุบัน)
ได้ข่าวว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่ถูกจับกุมคุมขังอยู่ที่นี่
พวกเรารอฟังประกาศรายชื่อผู้ต้องหาด้วยใจระทึก
ภาวนาให้มีชื่อคนรู้จักเพราะอย่างน้อยก็ยังดีที่ได้รู้ว่าเขาไม่สูญหายหรือเสียชีวิต
เราได้ยินชื่อเพื่อนหลายคน แต่ไม่มีชื่อพี่สาว มด วนิดา
ตอนนั้นมดเป็นแกนนำกรรมกรที่ทางการต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่ง
เธอหนีรอดมาได้ และตัดสินใจเข้าป่าในเวลาต่อมา
ส่วนผมกลับมาบ้าน คืนนั้นผมเอาหนังสือฝ่ายซ้ายหลายสิบเล่มเผาลงถังสังกะสีไม่ให้เพื่อนบ้านรู้
ทำลายหลักฐานที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
เพราะเวลานั้นใครต่อใครล้วนถูกจับกุมคุมขังได้ทันทีในข้อหาเป็นภัยต่อสังคม
นั่งเผาหนังสือทั้งน้ำตานองหน้าด้วยความคับแค้นใจ
สภาพตอนนั้นไม่ต่างกับบ้านแตกสาแหรกขาด
คิดถึงคนที่โดนยิงตายหลายคน
คิดถึงอีกหลายคนที่ยังตามหาไม่เจอ แต่อัดอั้นตันใจไม่รู้จะทำอะไรได้เพราะทหารตำรวจครองเมือง
ใจหนึ่งก็อยากเข้าป่าเพื่อกลับมาแก้แค้น อีกใจหนึ่งก็เป็นห่วงพ่อแม่ที่กินไม่ได้นอนไม่หลับมา
หลายคืนเพราะลูกสาวคนโตหายตัวไปเป็นอาทิตย์แล้ว
เหตุการณ์ครั้งนั้น คาดว่ามีนักศึกษาประชาชนโดนยิงตายประมาณครึ่งร้อยคน และทำให้นักศึกษาสามพันกว่าคนเข้าป่าจับอาวุธสู้กับรัฐบาล
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ผมเป็นอาสาสมัครอายุน้อยที่สุดที่ไปช่วยงานกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม
ตอนนั้นมีพระไพศาล วิสาโล (ยังไม่บวช) ลัดดาวัลย์ ตันติวิทยาพิทักษ์ ฯลฯ เป็นสมาชิกคนสำคัญ
ภารกิจของกลุ่มคือการรณรงค์ให้ปล่อยผู้นำนักศึกษา 18 คนที่ถูกจับกุมคุมขังจากเหตุการณ์นั้น อาทิ ธงชัย วินิจจะกูล สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล สุธรรม แสงประทุม วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์ ฯลฯ
พวกเราผลัดกันไปเยี่ยมผู้ต้องหาที่ติดคุกในเรือนจำ ให้กำลังใจ คอยส่งข่าวความคืบหน้า
และติดต่อกับองค์การนิรโทษกรรมสากลเผยแพร่ข่าวคดี 6 ตุลาในสื่อต่างประเทศเพื่อหวังกดดันรัฐบาลไทย
จนในที่สุดผู้ต้องหาทั้งหมดก็ได้รับการปลดปล่อย
ขณะที่พวกเราโดนสันติบาลกดดันอย่างหนัก บ้างถูกดักฟังโทรศัพท์ บ้างมีตำรวจนอกเครื่องแบบคอยติดตามจนกลายเป็นเรื่องปรกติ
เราทำงานค่อนข้างว้าเหว่ เพราะไม่มีใครกล้าแอ่นอกรับเรื่องนี้
ยอมรับว่าตอนนั้นบางครั้ง
ผมก็กลัวโดนอุ้ม
6 ตุลาคม 2520
ครบ 1 ปีเหตุการณ์สังหารโหด บรรยากาศเวลานั้นเสรีภาพมีเพียงน้อยนิด กิจกรรมนักศึกษายังเป็นสิ่งต้องห้ามในมหาวิทยาลัย
ไม่มีใครกล้าพูดถึงการนองเลือดที่เพิ่งผ่านไป
เช้าวันนั้นผมสวมชุด รด. ออกจากบ้านเพราะมีเรียนวิชาทหาร
ก่อนไปเรียนแวะมาท่าพระจันทร์ เพราะนัดพรรคพวก3-4 คนมาทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้เสียชีวิตที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จำได้ว่าวันนั้นมีเฉพาะพวกเราเท่านั้นมาร่วมไว้อาลัย
ช่างภาพสื่อมวลชนต่างประเทศจำนวนมากมารอทำข่าวความเคลื่อนไหวภายหลังเหตุการณ์ผ่านไป 1 ปี
แต่ไม่มีนักข่าวไทยเลย
พอเราตักบาตรเสร็จ
นักข่าวฝรั่งพยายามตามมาสัมภาษณ์ เราไม่กล้าพูดอะไร
ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปท้องสนามหลวงพร้อมถือดอกไม้ธูปเทียนไปด้วย เราหยุดใต้ต้นมะขามต้นหนึ่ง
ยืนพนมมือสงบนิ่ง ปักธูปและแขวนดอกไม้ไว้บนกิ่งไม้ต้นนั้
ที่เมื่อปีก่อนนักศึกษาคนหนึ่งถูกแขวนคออย่างทารุณ
40กว่าปีผ่านไป ภาพเหล่านั้นยังคงแจ่มชัดจนถึงปัจจุบัน เป็นบทพิสูจน์ว่า
“ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า
เราไม่ได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย”