อพยพสัตว์ป่าเขื่อนเชี่ยวหลาน กับความล่มสลายของระบบนิเวศ

 

“เจ้าค่างแว่นแม่ลูกอ่อนกำลังพยายามโหนตัว

จากกิ่งไม้ต้นนี้ไปยังอีกต้นเพื่อหาลูกไทรมาประทังชีวิต

มันไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว

และการโหนตัวจากกิ่งไม้ไปมาก็พาเอาเรี่ยวแรงของมันอ่อนล้าลงเรื่อย ๆ

“ลูกอ่อนเกาะติดแน่นอยู่บนหน้าอกเหี่ยวแห้งของมัน

น้ำนมที่เคยคัดแน่นเต็มเต้าก็เหือดแห้ง…

ไม่มีแม้แต่ให้ลูกได้ดูดกินประทังความหิวโหย

 

“หลายวันต่อมา…ขณะที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งแล่นเรือออกไปในท้องน้ำอันกว้างไพศาล

เพื่อช่วยเหลือชีวิตสัตว์ป่าที่ติดอยู่ตามต้นไม้

พวกเขาได้พบเห็นเจ้าค่างคู่นี้เกาะอยู่บนยอดไม้ที่ยืนตายซากอยู่ไกลลิบ

 

“แต่เมื่อแล่นเรือเข้าไปใกล้ กลับเป็นซากแห้ง ๆ ของค่างตัวเมียที่เกาะติดแน่นอยู่บนต้นไม้

โดยมีชิ้นส่วนเล็ก ๆ ที่สันนิษฐานว่าเป็นลูกน้อยของมันหลงเหลืออยู่ที่บริเวณหน้าอก

 

“ซากค่างที่เหี่ยวแห้งจากการอดอาหารตาย

จนเห็นกะโหลกเบ้าตาโผล่ออกมาเป็นสีขาวโพลนเด่นชัด…”

ผมบันทึกสิ่งที่ได้พบเห็นกลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อ 30 กว่าปีก่อน

 

ในปี 2529 ได้เกิดโครงการอพยพสัตว์ป่าที่กำลังจะถูกน้ำท่วมภายหลังการสร้างเขื่อนเชี่ยวหลาน

ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีโครงการจะช่วยชีวิตสัตว์ป่าให้รอดตายจากการถูกน้ำท่วม

 

การก่อสร้างเขื่อนเชี่ยวหลานทำให้ป่าดงดิบผืนใหญ่ส่วนหนึ่ง

ของอุทยานแห่งชาติเขาสกและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าคลองแสงจำนวนแสนกว่าไร่

จมน้ำกลายเป็นทะเลสาบลึกเกือบ 100 เมตร

บริเวณที่เคยเป็นเนินเขาและภูเขาก็ถูกตัดขาด

โผล่พ้นน้ำเป็นเกาะน้อยใหญ่จำนวน 162 เกาะ ส่งผลให้สัตว์ป่ามากกว่า 300 ชนิด

เช่น เลียงผา สมเสร็จ ชะนี ค่าง เสือลายเมฆ ฯลฯ หนีน้ำไม่ทัน

ต้องติดเกาะ หรือหนีน้ำขึ้นไปอยู่ตามยอดไม้ รอวันตายเพราะขาดแคลนอาหาร

 

ภารกิจของโครงการฯ คืออพยพสัตว์เหล่านี้ออกมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย

 

และหัวหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน คือ สืบ นาคะเสถียร ข้าราชการ นักวิชาการซี 5

จากกองอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ ผู้อาสามาทำงานที่ไม่เคยมีใครทำในประเทศนี้

 

ผมจำได้ว่าตอนที่ลงไปทำสารคดีเรื่องอพยพสัตว์ป่านั้น พี่สืบเล่าให้ฟังว่า

“เราเริ่มตั้งแต่การสำรวจสภาพป่าและสัตว์ว่ามีอยู่กี่ชนิด

ไปจนถึงเตรียมการอพยพสัตว์ซึ่งไม่เคยทำกันมาก่อน

แต่ก็พยายามจะทำให้ได้มากที่สุด ถ้าเราไม่ช่วยมันตายแน่ ๆ …ไปไหนไม่ได้แล้ว

พวกพรานมีปืนทั้งหลายต้องถือโอกาสล่ากันสนุกมือ”

 

เนื่องจากเป็นครั้งแรกในประเทศไทย สืบจึงรวบรวมผู้คนตั้งแต่สัตวบาล

นายพรานที่ชำนาญการดักสัตว์ พาคนเหล่านี้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน

และศึกษาว่าต่างประเทศจับสัตว์กันอย่างไร

จากหนังสือและวิดีโอรายการ “ซิงเกอร์เวิลด์” (Singer World)

ซึ่งมีสารคดีการช่วยชีวิตสัตว์ป่าจากการสร้างเขื่อนที่ประเทศเวเนซุเอลา

 

ภารกิจในแต่ละวันคือนำเรือออกตระเวนไปตามต้นไม้สูง ๆ

ที่ยืนต้นตายกลางทะเลสาบ

หากพบชะนีหรือค่างติดอยู่บนยอดไม้ พวกเขาจะนำเรือเข้าไปใกล้

ทำทุกอย่างตั้งแต่ส่งเสียง พุ่งเรือชนต้นไม้

ไปจนถึงเลื่อยโค่นต้นไม้เพื่อให้สัตว์ตกใจกระโดดลงน้ำ จะได้ว่ายไปจับสัตว์เหล่านั้นได้

 

หากแล่นไปเจอเกาะก็ขึ้นไปบนเกาะ ขึงตาข่ายพาดกลางเกาะแล้วแบ่งคนเป็นสองฝ่าย

ส่งเสียงดังตั้งแต่ท้ายเกาะเพื่อไล่ต้อนให้สัตว์
ตกใจวิ่งหนีมาชนตาข่ายที่ขึงไว้ ซึ่งมักได้สัตว์อย่างกระจง กวาง เลียงผา

แม้กระทั่งงูจงอางที่ว่ายน้ำจนอ่อนแรงในอ่างเก็บน้ำ

หัวหน้าสืบก็ยังตามไปช่วยชีวิต

de8b317df94ca355c1944036dd68d5c859cb7128ffa4767e43a4a2e5b3688fe3

คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่นำเรือออกไปช่วยเหลือสัตว์ป่าในอ่างเก็บน้ำ

ทำให้คนไทยรับรู้ว่า เบื้องหลังการสร้างเขื่อนนอกจากต้นไม้จำนวนมากถูกทำลาย

ยังมีสัตว์ป่าหลายพันตัวต้องตาย

ที่ผ่านมาการสร้างเขื่อนทุกแห่ง

ไม่เคยมีการช่วยเหลือสัตว์ป่าที่ตายจากการถูกน้ำท่วมเลย

 

แต่ 2 ปีผ่านไป โครงการอพยพสัตว์ป่าสามารถช่วยเหลือชีวิตสัตว์ป่าได้ 1,364 ตัว

ซึ่งเป็นจำนวนที่น่าพอใจ

ทว่าเทียบไม่ได้กับสัตว์อีกจำนวนมหาศาลที่จมน้ำและอดอาหารตายจากการสร้างเขื่อน

อีกทั้งสัตว์จำนวนหนึ่งที่ช่วยมาได้ก็ตายระหว่างการรักษาพยาบาล

 

ผมจำได้ว่าเราเคยพยายามช่วยชะนีแม่ลูกไว้ได้

แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำไม่ได้คือให้แม่ชะนีมีนมให้ลูกกิน ลูกมันก็ร้อง

แม้พี่สืบจะไปโรงพยาบาลขอนมเลี้ยงเด็กมาชงให้ลูกชะนีกิน ที่สุดลูกชะนีก็ตาย

 

ผู้ใกล้ชิดรู้ดีว่าแววตาของสืบจะปวดร้าวมากเมื่อเห็นสัตว์ตายไปต่อหน้า

หลายครั้งที่เขาพยายามเก็บพืชป่ามาให้ชะนีให้ค่างกิน

แต่มันไม่ยอมกินเพราะความเครียด

เขาโกรธจัดเมื่อเห็นเนื้อสัตว์ป่าชำแหละแล้วในเรือของพรานที่ตรวจพบ

และหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่พยายามผายปอดเลียงผาและกวางที่ช่วยขึ้นมาจากน้ำ

แต่มันตายไปต่อหน้าเพราะความหิวโหยและความอ่อนเพลีย

 

สุดท้ายสืบยอมรับว่าโครงการอพยพสัตว์ป่าล้มเหลว

ไม่สามารถช่วยชีวิตสัตว์ป่าได้ สัตว์ที่ช่วยชีวิตมาภายหลังก็ล้มตายลงจากความเจ็บป่วย

เครียด ขาดอาหารนานเกินไป

และหลายตัวก็ตายเพราะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับพื้นที่ใหม่

 

เขาสรุปไว้ว่า

“เราคิดว่าช่วยสัตว์ได้แค่ร้อยละ 15 ของพื้นที่หรือเกาะทั้งหมดเท่านั้นเอง

เกาะใหญ่ ๆ เราไม่สามารถจะต้อนจับสัตว์ใหญ่ ๆ ออกมาได้หมด

มีสัตว์ตกค้างอีกมาก สัตว์ที่เราช่วยมาอยู่ในสภาพอ่อนแอ อาจเจ็บป่วย ไม่สบาย

เมื่อนำไปปล่อยมันจะต้องปรับตัวให้เข้ากับถิ่นที่อยู่ใหม่

ต้องต่อสู้แก่งแย่งกับสัตว์ชนิดเดียวกัน ยิ่งร่างกายอ่อนแอ

ทำให้มันเป็นเหยื่อได้โดยง่าย และแม้ว่ามันอยู่รอด แต่ไม่อาจอยู่รอดได้นาน

จนกระทั่งสืบพันธุ์มีลูกมีหลาน ไม่สามารถคงจำนวนประชากร

สัตว์ชนิดนั้นก็จะค่อย ๆ หายไป”

 

“ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนเป็นกระบวนการทำลายแหล่งพันธุกรรม

ตลอดจนแหล่งที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารที่สำคัญของสัตว์ป่า

ซึ่งถือได้ว่าเป็นหัวใจของผืนป่าทั้งหมดที่มนุษย์มิอาจสร้างขึ้นมาใหม่ได้”

 

หลายปีต่อมา ลู้ก กิบสัน (Luke Gibson) นักศึกษาปริญญาเอกมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์

มาทำวิจัยเพื่อศึกษาว่าเกาะกลางอ่างเก็บน้ำจะยังมีสัตว์ที่ปรับตัวอาศัยอยู่รอดหรือไม่

โดยศึกษาบนเกาะตัวอย่าง 16 เกาะกลางอ่างเก็บน้ำเขื่อนเชี่ยวหลาน

ขนาดพื้นที่เกาะมีตั้งแต่ 1-300ไร่ จากการวิจัยที่ใช้เวลาศึกษานานหลายปี

ได้ผลสรุปคือ บนเกาะเหล่านี้แทบจะไม่มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็กเหลืออยู่

ส่วนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่หายไปแล้วตั้งแต่ตอนสร้างเขื่อน

นักวิจัยถึงกับเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าไม่ต่างจาก ecological Armageddon

หรือความล่มสลายเชิงระบบนิเวศ

ที่น่ากลัวคือกระบวนการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ เกิดขึ้นเร็วมากอย่างไม่น่าเชื่อ

คือภายในไม่กี่ปีหลังการสร้างเขื่อน

พื้นที่ป่าในเกาะเล็กเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่รอด

สามสิบกว่าปีผ่านไปเราได้ข้อสรุปแล้วว่า

สัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือออกไปนั้นไม่รอด

สัตว์ที่ยังติดอยู่บนเกาะก็ไม่รอดเช่นกัน

 

เพราะการอนุรักษ์พื้นที่ป่าขนาดใหญ่เท่านั้น

คือหนทางในการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต

forrest

 

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s