หากอเมริกาเหนือมีทรัมป์ที่ไม่สนใจปัญหาโลกร้อน แถมยังสนับสนุนให้โลกร้อนขึ้น
อเมริกาใต้ก็มีประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู แห่ง
ที่สนับสนุนให้ทำลายป่าแอมะซอนเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ถั่วเหลือง
จนเกิดไฟป่าลุกลามไปทั่ว
อวสานของโลกมาเร็วจริงๆ
เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
เขาประกาศเลยว่า ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน
ไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
จะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
รวมทั้งความเสียหายที่เกิดกับสุขภาพของประชาชน
และยังตัดงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมจำนวนมหาศาล
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ประกาศให้สหรัฐฯถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส
อันเป็นกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการรับมือ
กับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศร่วมกับอีก 187 ประเทศ
ที่ตั้งเป้าหมายจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ทรัมป์มองว่านโยบายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
จะเพิ่มต้นทุนให้กับการผลิตสินค้าและทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯต้องถดถอย
ผู้นำสหรัฐคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อสวนกระแสการแก้ปัญหาโลกร้อน
ห่างกันไม่นาน การบุกรุกพื้นที่ป่าแอมะซอนหลายร้อยล้านไร่ในบราซิล
อันเป็นปัญหาอยู่แล้วมายาวนาน ก็หายนะหนักมากขึ้น
เมื่อนายฌาอีร์ โบลโซนารู นักการเมืองขวาจัด ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
เขาประกาศนโยบายจะเปลี่ยนป่าแอมะซอนให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด
ด้วยการสนับสนุนการบุกรุกป่า เพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตร เหมืองแร่ และเลี้ยงสัตว์
ผู้นำฝ่ายขวารายนี้ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อน สนับสนุนให้ตัดป่าอย่างมโหฬาร
อาทิ การลดค่าปรับให้แก่ผู้ที่ฝ่าฝืนตัดไม้ทำลายป่า ยกเลิกสภาสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
สั่งย้ายข้าราชการปากกล้า ที่รายงานปัญหาการทำลายป่าแอมะซอน
ไม่กี่เดือนผ่านไป มีการบุกรุกทำลายป่าร่วมสามสิบล้านไร่
เพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่การเกษตร เหมืองแร่ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
และความแห้งแล้งของฤดูกาล จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไฟป่าเกิดขึ้นลุกลามอย่างรุนแรง
จนกลายเป็นไฟไหม้ป่าครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ เกิดไฟป่ามากกว่า 74,000 ครั้ง
ไฟลุกไหม้ติดต่อกันตั้งแต่ต้นปี จำนวนไฟป่าเพิ่มจากปีที่แล้วถึง 84%
และยังไม่มีหนทางจะดับลง
แต่ละนาที พื้นที่ป่าแอมะซอนขนาด 1 สนามฟุตบอลถูกไฟป่าเผาผลาญ
คาดว่าขณะนี้มีพื้นที่ป่าที่ถูกไฟไหม้ไปแล้วกว่า 3,000 ตารางกิโลเมตร หรือเกือบสองล้านไร่
หมอกควันไฟได้แผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้าไปทั่วบราซิล
มหานครเซาท์เปาโล ห่างออกไปทางใต้ไกลถึง 2,700 กิโลเมตร ยังปกคลุมไปด้วยหมอกควัน
ป่าดิบชื้นทั้งหมดในโลก ครึ่งหนึ่งอยู่ในป่าแอมะซอนบนพื้นที่กว่า 5,500,000 ตารางกิโลเมตร
ครอบคลุมพื้นที่ 9 ประเทศ และประมาณร้อยละ 60 อยู่ในประเทศบราซิล
ป่าแอมะซอนได้ชื่อว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก
เป็นที่อยู่ของสัตว์จำนวนถึง 1 ใน 10 ของทุกชนิดบนโลก
มีต้นไม้ประมาณ 390,000 ล้านต้น และพันธุ์พืชประมาณ 40,000 ชนิด
ทั้งยังเป็นแหล่งกักเก็บและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ก่อให้เกิดปัญหาโลกร้อนถึงปีละ 2,000 ล้านตัน
ที่สำคัญคือ ป่าแอมะซอนเปรียบเสมือน “ปอดของโลก”
เป็นแหล่งผลิตออกซิเจนสำคัญให้กับชาวโลกถึงร้อยละ 20
ป่าดิบผืนใหญ่ที่สุดในโลกกำลังจะตายลงเรื่อย ๆ จากความแห้งแล้งและไฟป่า
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า คงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20-40 ปี กว่าจะฟื้นฟูให้ป่าแอมะซอนกลับคืนมาได้
แต่อันที่จริง ต้นเหตุของปัญหาคงไม่ต่างจาก
ปัญหาหมอกควันพิษจากไฟป่าในเมืองไทยเมื่อต้นปีเลย
สาเหตุคือ การบุกรุกป่า เผาป่า เปลี่ยนพื้นที่เป็นไร่ข้าวโพด เพื่อเป็นอาหารสัตว์
ที่ผ่านมา ป่าแอมะมซอนถูกเผา บุกรุกเพื่อแผ้วถางป่าให้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกถั่วเหลือง
เพื่อเป็นอาหารสัตว์มากกว่าปีละ 20 ล้านไร่
ทุกวันนี้ หลังจากประธานาธิบดีคนปัจจุบันขึ้นครองตำแหน่ง
บราซิลกลายเป็นประเทศที่ส่งออกเนื้อรายใหญ่ที่สุดของโลก
เพื่อตอบสนองความต้องการเนื้อทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
บราซิลส่งเนื้อวัวเป็นสินค้าขาออกมากที่สุดถึง ปีละ 1.64 ล้านตัน เป็นมูลค่าสองแสนกว่าล้านบาท
โดยส่งไปขายที่ฮ่องกงและ จีนถึงร้อยละ 43
คนอเมริกันเคยครองแชมป์ประเทศที่กินเนื้อมากที่สุดในโลก คือคนละ 120 กิโลกรัมต่อปี
แต่ปัจจุบัน สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อประเทศจีนกลายเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์อันดับต้น ๆของโลก
หลายสิบปีก่อน เศรษฐกิจของประเทศจีนยังไม่ได้ดี คนยากจนเยอะ
เนื้อสัตว์ราคาแพง คนจีนกินเนื้อน้อยปีละสองสามมื้อ
เนื้อเป็นอาหารของคนมีอันจะกิน เรียกกันว่า เนื้อเงินล้าน
แต่ตอนนี้เศรษฐกิจดี คนจีนกินเนื้อเกือบทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ
เมื่อสามสิบปีก่อนประชากรจีนมีประมาณ 1,000 ล้านคน กินเนื้อสัตว์เฉลี่ยคนละ 13.5 กิโลกรัมต่อปี
ตอนนี้ประชากรเพิ่มเป็น 1,400 ล้านคน เฉลี่ยกินเนื้อสัตว์คนละ 63 กิโลกรัมต่อปี
คิดเป็นปริมาณเนื้อรวมกันร่วม 100 ล้านตันต่อปี
หรือเกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อสัตว์ที่ประชากรทั้งโลกกิน
ปัจจุบันการบริโภคเนื้อของคนทั่วโลกเป็นขาขึ้น ในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา
ทั่วโลกกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นจาก 70 ล้านตันเป็น 300ล้านตันต่อปี
จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจาก 3 เป็น 7 พันล้านคน
และเมื่อรายได้ดีขึ้น การบริโภคเนื้อก็ตามมา ดังตัวอย่างประเทศจีน
เมื่อความต้องการบริโภคเนื้อของคนจีนมีมากขึ้น ก็กระทบกับภูมิภาคทั่วโลก
ความต้องการข้าวโพด ถั่วเหลือง เพื่อทำอาหารสัตว์จึงเพิ่มขึ้นมหาศาล
จีนนําเข้าผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองจากบราซิลถึงร้อยละ 20 ของถั่วเหลืองทั้งหมดที่บราซิลส่งออก
เช่นเดียวกับที่จีนไปตั้งบริษัทรับซื้อข้าวโพดเพื่อทำอาหารสัตว์จากรัฐฉาน ในประเทศเมียนมาร์
และรัฐฉานในฤดูแล้งที่ผ่านมา มีการบุกรุกเผาป่ามหาศาลเพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม
ล่าสุดหลายประเทศในยุโรป เริ่มระงับการสั่งเนื้อวัวจากประเทศบราซิล
จนกว่ารัฐบาลจะหามาตรการดับไฟป่าอย่างจริงจัง
แต่ดูเหมือนบราซิล ไม่สนใจ ตราบใดที่ความต้องการตลาดเนื้อทั่วโลกยังเพิ่มสูงขึ้นตลอดเวลา
คนไทยก็กินเนื้อมากขึ้นกว่าสมัยก่อนเยอะ สังเกตดูพฤติกรรมการกินอาหารของคนสมัยนี้ก็คงทราบดี
ไส้กรอก เนื้อ น้ำตก หมูกระทะ แฮมเบอร์เกอร์ ไก่ย่าง ฯลฯ ล้วนเป็นอาหารหลักของคนเกือบทุกมื้อ
ยิ่งคนกินเนื้อมากเท่าไร การทำลายป่าเพื่อเปลี่ยนเป็นไร่ข้าวโพดและถั่วเหลืองก็ลุกลามไปเรื่อย ๆ
ป่าแอมะซอน และป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล้วนมีชะตากรรมเดียวกัน
กินเนื้อย่าง น้ำตก วันนี้ พึงระลึกเสมอว่า มีส่วนในการทำลายป่าอเมซอน และป่าดิบชื้นทั้งโลก