ปัญหาไฟป่าในป่าอเมซอน ที่กำลังลุกไหม้ขณะนี้
ต้นเหตุของปัญหาคงไม่ต่างจาก ปัญหาหมอกควันพิษจากไฟป่าในเมืองไทยเมื่อต้นปีเลย
สาเหตุคือ การบุกรุกป่า เผาป่า เปลี่ยนพื้นที่เป็นไร่ข้าวโพด ไร่ถั่วเหลือง
เพื่อเป็นอาหารสัตว์
ให้มนุษย์กินอีกที
ข่าวการเกิดไฟป่ามากกว่า 70,000 ครั้ง ในป่าอเมซอน ผืนป่าดิบชื้นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ไฟไหม้ตั้งแต่ต้นปี สร้างความหวั่นวิตกให้กับคนทั้งโลก
จำนวนไฟป่าปีนี้เพิ่มจากปีที่แล้วถึง 83% และยังไม่มีหนทางจะดับง่าย ๆ
ไฟป่าเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายพื้นที่ หลังจากนายฌาอีร์ โบลโซนาโร ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดี
และมีนโยบายตัดไม้ทำลายป่าอเมซอน เอาใจบริษัทข้ามชาติ
เพื่อเปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลือง
พื้นที่ป่าดิบชื้นทั้งโลก ครึ่งหนึ่งอยู่ในป่าอเมซอนบนพื้นที่กว่า 5,500,000 ตารางกิโลเมตร
มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก มีต้นไม้ประมาณ 390,000 ล้านต้น
และพันธุ์ไม้ประมาณ 16,000 ชนิด ทั้งยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่สำคัญ
ช่วยชะลอปัญหาภาวะโลกร้อน
ที่ผ่านมา ป่าอเมซอนถูกเผาป่า
บุกรุกเพื่อแผ้วถางป่าให้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกถั่วเหลืองมากกว่าปีละ 20 ล้านไร่
โดย มีบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติมารับซื้อผลผลิตทางการเกษตร
ถั่วเหลืองและข้าวโพดเป็นวัตถุดิบสำคัญในการแปรรูปมาทำอาหารสัตว์
เพื่อเลี้ยงวัว หมู ไก่ จำนวนหลายร้อยล้านตัว ก่อนที่สัตว์เหล่านี้จะถูกเข้าโรงฆ่าสัตว์
แยกชิ้นส่วนมาทำเป็นเนื้อสัตว์นานาชนิด
ที่สำคัญคือเนื้อแฮมเบอเกอร์หรืออาหารฟาสต์ฟู้ด ป้อนให้กับร้านอาหารทั่วสหรัฐอเมริกา
และส่งไปจำหน่ายทั่วโลกด้วย
คนอเมริกันเคยครองแชมป์ประเทศที่กินเนื้อมากที่สุดในโลก คือคนละ 120 กิโลกรัมต่อปี
แต่ปัจจุบัน สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อประเทศจีนกลายเป็นผู้บริโภคเนื้อสัตว์อันดับต้น ๆของโลก
หลายสิบปีก่อน เศรษฐกิจของประเทศจีนยังไม่ได้ดี คนยากจนเยอะ
เนื้อสัตว์ราคาแพง คนจีนกินเนื้อน้อยปีละสองสามมื้อ
เนื้อเป็นอาหารของคนมีอันจะกิน เรียกกันว่า เนื้อเงินล้าน
แต่ตอนนี้เศรษฐกิจดี คนจีนกินเนื้อเกือบทุกวันจนเป็นเรื่องปกติ
เมื่อสามสิบปีก่อนประชากรจีนมีประมาณ 1,000 ล้านคน กินเนื้อสัตว์เฉลี่ยคนละ 13.5 กิโลกรัมต่อปี
ตอนนี้ประชากรเพิ่มเป็น 1,400 ล้านคน เฉลี่ยกินเนื้อสัตว์คนละ 63 กิโลกรัมต่อปี
คิดเป็นปริมาณเนื้อรวมกัน 88 ล้านตันต่อปี
หรือประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อสัตว์ที่ประชากรทั้งโลกกิน
แม้คนจีนจะกินเนื้อสัตว์น้อยกว่า คนอเมริกันที่กินเฉลี่ยปีละ 120 กิโลกรัม
แต่ถ้ารวมประชากรจีนแล้ว คนจีนนำโลด
ปัจจุบันการบริโภคเนื้อของคนทั่วโลกเป็นขาขึ้น ในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา
ทั่วโลกกินเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นจาก 70 ล้านตันเป็น 300ล้านตันต่อปี
จากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจาก 3 เป็น 7 พันล้านคน
และเมื่อรายได้ดีขึ้น การบริโภคเนื้อก็ตามมา ดังตัวอย่างประเทศจีน
ทุกวันนี้คนกินเนื้อหมูมากที่สุด แต่คาดการณ์ว่า ในปีพ.ศ. 2565
คนจะกินเนื้อไก่มากที่สุดในโลกแทน จากต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าเนื้อชนิดอื่น กล่าวคือ
เนื้อวัว 1 กก. ใช้อาหารสัตว์คือ ข้าวโพด 11 กก.
เนื้อหมู 1 กก. ใช้ ข้าวโพด 7 กก.
เนื้อไก่ 1 กก. ใช้ ข้าวโพด 4 กก.
เมื่อความต้องการบริโภคเนื้อของคนจีนมีมากขึ้น ก็กระทบกับภูมิภาคทั่วโลก
ความต้องการข้าวโพด ถั่วเหลือง เพื่อทำอาหารสัตว์จึงเพิ่มขึ้นมหาศาล
จีนนําเข้าผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองจากบราซิลถึงร้อยละ 20 ของถั่วเหลืองทั้งหมดที่บราซิลส่งออก
เช่นเดียวกับที่นำเข้าข้าวโพดเพื่อทำอาหารสัตว์จากรัฐฉาน ในประเทศเมียนมาร์
และรัฐฉานในฤดูแล้งที่ผ่านมา มีการเผาป่ามหาศาลเพื่อบุกรุกเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรกรรม
ป่าอเมซอน ป่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล้วนมีชะตากรรมเดียวกัน
กินเนื้อวันนี้ พึงระลึกเสมอว่า มีส่วนในการทำลายป่าอเมซอน