บริเวณกำแพงทางออกอาคารพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (Nagasaki Atomic Bomb Museum )
มีภาพถ่ายขาวดำเด็กชายแบกทารกไว้ที่หลัง
ได้ตรึงผู้เขียนให้หยุดดูนาน
ก่อนออกจากสถานที่จัดแสดงเรื่องราวความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่มีต่อชาวเมืองนางาซากิ จากการทิ้งระเบิดปรมาณูของทหารอเมริกัน เมื่อ 74 ปีก่อน
ภาพถ่ายนี้เป็นหนึ่งในสัญญลักษณ์ความทุกข์เวทนา
สะเทือนใจผู้พบเห็น และบอกอารมณ์ความรู้สึกของสงครามอย่างหมดจด
Joe O’Donnell ช่างภาพสงครามชาวอเมริกันผู้ถ่ายภาพนี้ได้ในเมืองนางาซากิ ในปีค.ศ. 1945
ภายหลังญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม
เขาให้สัมภาษณ์เบื้องหลังภาพนี้ว่า
“เมื่อผมเดินทางมาถึงเมืองนางาซากิ ผมเห็นผู้คนอุดจมูกด้วยผ้าขาว
กำลังเผาซากศพจำนวนมากในหลุมขนาดใหญ่
สักพักผมเห็นเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบขวบกำลังเดินมา
เขาแบกเด็กทารกคนหนึ่งบนหลัง
ดูเหมือนเป็นภาพปกติที่จะเห็นพี่ชายแบกน้องตัวเล็กขึ้นหลังเดินไปมา
แต่ภาพของเด็กคนนี้แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
เด็กเดินตีนเปล่ามาที่เผาศพ
มีทารกบนหลังหงายศีรษะขึ้น ราวกับเพิ่งหลับ
เขาเดินมาถึงปากหลุม และจ้องมองลงไปอย่างสงบ
เด็กชายยืนนิ่งเกือบสิบนาที
จนมีชายคนหนึ่งเดินมาหา ค่อย ๆ ปลดเชือกที่คล้องตัวทารกออกมาจากหลังเด็กชาย
ผมเข้าใจทันทีว่าทารกตายแล้ว
และเอาร่างทารกไปวางบนกองฟืนที่กำลังลุกโชน
ไฟลามศพทารก เสียงเผาศพดังเป็นระยะ
เด็กชายยืนนิ่งเงียบมองเปลวไฟราวกับไร้วิญญาณ
ผมสังเกตเห็นริมฝีปากมีสีแดง
เด็กน้อยกัดริมฝีปากล่างจนเลือดหยดออกมา
เขายืนอยู่ตราบจนไฟไหม้ศพน้องชายของเขาจนเป็นเถ้าหมด
ดวงอาทิตย์กำลังลับฟ้า แล้วเขาเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ”
…
9 สิงหาคม 1945 ระเบิดปรมาณูได้ระเบิดเหนือเมืองนางาซากิ
สามวันหลังจากระเบิดลูกแรกได้ถล่มเมืองฮิโรชิม่า มีคนตาย 140,000 คน
เพื่อบีบบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามกับสหรัฐอเมริกา
หลังจากการโจมตีทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ 67 เมืองของญี่ปุ่น
อย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึงหกเดือน
เพราะกองทัพสหรัฐอเมริกาประเมินแล้วว่า
หากใช้กองทหารบุกเกาะญี่ปุ่น อาจจะถูกต่อต้านอย่างหนัก
และต้องสูญเสียทหารอเมริกันนับล้านคน
แนวทางที่สูญเสียชีวิตทหารน้อยกว่า คือการทิ้งระเบิดปรมาณูเป้าหมายทางพลเรือน
เพื่อข่มขวัญศัตรูว่า มีอาวุธมหาประลัย
แต่เมื่อทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาแล้ว กองทัพญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้

ระเบิดปรมาณูลูกที่สองก็ตามมา
อันที่จริงนางาซากิไม่ใช่เป้าหมายหลักการทิ้งระเบิด
ทหารอเมริกันวางแผนว่าจะทิ้งเมืองโคคูระ
เช้าวันนั้นเครื่องบิน B-29 ได้บินไปเหนือเมือง ปรากฏว่ามีหมอกควัน
มองไม่เห็นเป้าหมายข้างล่างนักบินวนเหนือเมืองถึงสามรอบ แต่ทัศนวิสัยแย่มาก
จึงตัดสินใจเลือกแผนสำรองบินมาเป้าหมายที่สองคือนางาซากิ
นักบินได้ปล่อยระเบิดพลูโตเนียมที่มีอานุภาพทำลายสูงสุดออกจากเครื่องบิน เมื่อเวลา 11.02 น.
เวลานั้นนางาซากิมีพลเมืองประมาณ 240,000 คน
ระเบิดมหาประลัยทำให้มีผู้เสียชีวิต 70,000 กว่าคน บาดเจ็บนับแสนคน
และเมืองพังพินาศ ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัยเกือบหมด
…
หลักฐานสำคัญชิ้นแรกเมื่อผู้เขียนเดินเข้าไปอาคารจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ
คือ ซากนาฬิกาแขวนเก่า ๆ เคยตั้งอยู่ห่างจากศูนย์การระเบิด 800 เมตร
เข้มสั้นชี้เลข 11 เข็มยาวชี้เลข 1 นาฬิกาหยุดเดินเวลา 11.05 น.เมื่อระเบิดได้กระทบพื้นดิน
11.05 เวลาหยุดโลก หยุดชีวิตชาวเมืองนางาซากิ
ผู้เขียนเดินดู ซากชิ้นส่วนสิ่งของต่างๆ ที่ยังหลงเหลือเป็นหลักฐาน
ข้อมูลเหตุการณ์ สาเหตุการเกิดช่วงเวลาเครื่องบินทิ้งระเบิดลงมา
ถ่ายภาพผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บและซากปรักหักพังของเมืองผู้รอดชีวิต
แต่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคลูคีเมีย(มะเร็งเม็ดเลือดขาว) จากพิษของสารกัมตภาพรังสี
และคำพูดแสดงความรู้สึกของชาวบ้าน ลูกเล็กเด็กแดง ที่ต้องมารับเคราะห์แทนผู้กระหายสงคราม
บางตอนมีคำพูดของผู้รอดตายว่า
“ ท้องทุ่งไหม้เกรียมเป็นสีแดงเพลิง
ไฟยังลุกไหม้ผู้คน
แม่ของฉัน อยู่ในกองเพลิง
พี่สาวของฉัน อยู่ในกองเพลิง
และมีเพียงเถ้าถ่านที่หลงเหลืออยู่”
ซากู ชิโมฮิรา วัย 11 ขวบ

“ขอให้ฉันกลับไปอยู่อดีตเถิด
ขอเพียงแค่ครั้งเดียว
ฉันต้องการแม่ ฉันต้องการพ่อ
ฉันต้องการพี่ชาย ฉันต้องการพี่สาว”
ฟูจิโอ ชึจิโมโต วัย 5 ขวบ
…
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสิ่งเตือนใจให้ระลึกถึงความสูญเสียอันยิ่งใหญ่
ในวันที่นางาซากิโดนพิษร้ายของสารพลูโตเนียมอาบกินไปเกือบทั้งเมือง
โดยที่ชาวเมืองไม่ได้มีส่วนรับรู้ในการก่อสงครามเลย
แต่ต้องมาเป็นผู้รับเคราะห์ร้ายโดยตรง
ผู้รอดชีวิตจำนวนมาก ก็เหมือนกับตายทั้งเป็น
เมื่อคนในบ้านตายหมด
เหมือนอย่างหัวหน้าครอบครัวชื่อ อัทซูยูกิ มัทซูโอะ บันทึกไว้ว่า
“9 สิงหาคม นางาซากิ โดนระเบิดปรมาณู
ฉันมาถึงบ้านเมื่อพลบค่ำแห่งความตายมีใครอยู่ไหม
ภายใต้ซากปรักหักพัง
ฉันพบเมียบาดเจ็บสาหัส และศพลูกสองคนข้างถนน
เธอได้เล่าว่าลูกตายอย่างไร (อายุหนึ่งและสี่ขวบ)
เธอบอกว่าลูกของเราตายมีรอยยิ้มในอ้อมกอดของแม่
แม่วางลูกสองคนลงบนพื้น
เมื่อไม่มีอะไรมาหุ้มตัวลูก ฝูงแมลงวันก็บินมาไต่ตอม
ลูกชายคนโตอีกคนบาดเจ็บสาหัส
ก่อนจะตายตามไป
นอนตายอยู่ข้าง ๆ แม่
11 สิงหาคม ฉันรวบรวมกองฟืนเผาลูกทั้งสามคน
รุ่งขึ้นหมอกน้ำค้างยามเช้าได้ชำระเถ้าถ่านของลูกสามคนไปหมด
13 สิงหาคม เมียทนพิษบาดแผลไม่ไหวตายไปอีกคน
15 สิงหาคม ฉันเผาศพเธอ
วันเดียวกับที่ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม
หลังจากสูญเสียทุกสิ่ง ฉันยืนสงบนิ่ง
เมื่อระเบิดปรมาณูสี่ลูกซ้อน ระเบิดตัวฉัน ฉันจุดไฟเผาศพ
ให้เปลวไฟลุกไหม้ไปพร้อมกับคำยอมแพ้สงคราม”
คนตายเขียนไม่ได้ แต่คนเขียนได้ตายทั้งเป็น