ดูท่าทางโลกจะไม่รอด

 

ช่วงเดือนมิถุนายน มีเหตุการณ์ระทึกคล้ายกันหลายแห่งเกิดขึ้น

แต่เป็นเพียงข่าวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยถูกพาดหัวเป็นข่าวใหญ่เหมือนเดิม

ข่าวแรกเกิดในย่านอุตสาหกรรมชานเมืองนอริลสค์ ในเขตไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย

เมื่อชาวเมืองหลายคนพบหมีขาวเพศเมียตัวหนึ่ง มาเดินหาอาหารกินตามท้องถนนในเมือง

เป็นหมีขาวผู้ผอมโซอดอยากมานาน

 

หนังสือพิมพ์ไซบีเรีย ไทมส์ รายงานว่า หมีขาวตัวนี้น่าจะเดินทางไกลมาจากคาบสมุทรเทย์มีร์

ที่ห่างออกไปถึง 1,500 กิโลเมตร

ช่างภาพผู้บันทึกภาพถ่าย ได้บอกว่า หมีขาวอ่อนแรงมาก เดินแทบไม่ไหว

เค้านอนพักเอาแรงอยู่นาน กว่าจะข้ามถนนเข้ามาในเขตอุตสาหกรรมของเมือง

หมีขาวเดินทางมาจากบ้านเกิดของตัวเองนับพันกิโลเมตร

เพราะน้ำแข็งละลาย และล่าสัตว์หาอาหารกินไม่ได้

จึงเดินทางมาเรื่อย ๆ หวังจะพบอาหารในเมือง

 

ไล่เลี่ยกับข่าวหมีขาวตัวนี้ มีรายงานข่าวว่า ผู้คนทางแถบเหนือก็แทบช็อก

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า น้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ได้ละลายอย่างรวดเร็วลงไปสู่ทะเลเป็นจำนวนถึง 2,000 ล้านตัน

เกือบครึ่งหนึ่งของเกาะ ในชั่วเวลาเพียงอาทิตย์เดียว

 

กรีนแลนด์เป็นเป็นดินแดนที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของโลก

คือ อยู่ใกล้ขั้วโลกเหนือ ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติก

และเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลก   มีพื้นที่ประมาณ 2,175,900 ตารางกิโลเมตร

หรือใหญ่กว่าประเทศไทยประมาณ สี่เท่า

แม้ว่าการละลายของน้ำแข็งบนเกาะแห่งนี้จะเป็นเรื่องปกติ

แต่ที่น่าตกใจ เพราะฤดูกาลที่นั่น เพิ่งย่างเข้าสู่ฤดูร้อนเอง

จึงไม่มีใครทำนายได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากกรีนแลนด์เข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มตัว

 

แต่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า  น้ำแข็งที่ละลายในกรีนแลนด์ของปีนี้

อาจส่งผลให้ระดับน้ำในทะเลสูงขึ้นแน่นอน

 

จากขั้วโลกเหนือ ล่องมาทางใต้ไม่ไกลจากประเทศไทย

เทือกเขาหิมาลัยกำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกัน

นักวิทยาศาตร์ได้พบว่า อัตราการละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขาหิมาลัยเข้าขั้นวิกฤต

 

ทุกวันนี้ธารน้ำแข็งบนหลังคาโลกแห่งนี้ ละลายถึงปีละ 8,300 ล้านตัน

นับเป็นอัตราที่เร็วขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปี 2518 – 2543

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ปริมาณน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาหิมาลัย ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 72 เท่านั้น

การละลายของน้ำแข็งบนเทือกเขานี้ อาจไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงกับระดับน้ำทะเล

แต่ที่สาหัสกว่านั้นคือ เทือกเขาหิมาลัยเป็นแหล่งต้นน้ำของแม่น้ำนานาชาตินับสิบสาย

อาทิ แม่น้ำคงคา แม่น้ำโขง แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำพรหมบุตร แม่น้ำสินธุ ฯลฯ

ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมจากปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

และในอนาคตไม่นาน หากน้ำแข็งที่ปกคลุมเทือกเขาหิมาลัยลดลงไปเรื่อย ๆ

ปริมาณน้ำแข็งที่ละลายมาเติมแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงผู้คนนับพันล้านคนที่อาศัยอยู่ด้านล่าง

จะเริ่มขาดแคลนและก่อให้เกิดสงครามแย่งชิงน้ำในที่สุด

ห่างจากเทือกเขาหิมาลัยไปไม่ไกล ในดินแดนตะวันออกกลาง ประเทศคูเวต

ได้ทำลายสถิติวันที่มีอากาศร้อนที่สุดในโลก เว็บไซต์กัลฟ์นิวส์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2562

ประเทศคูเวต เผชิญวิกฤตอากาศร้อนจัด มีอุณหภูมิสูงที่สุดในโลก อุณหภูมิในร่ม สูงถึง 52.2 องศาเซลเซียส

และอุณหภูมิกลางแจ้ง สูงถึง 63 องศาเซลเซียส

มีรายงานว่า มีคนร้อนตายเพียงคนเดียว จากร่างกายที่ถูกแสงแดดแผดเผาเป็นเวลานาน

สาเหตุเป็นอื่นไม่ได้นอกจากปัญหาโลกร้อน

มุ่งไปสู่ขั้วโลกใต้ ดินแดนที่มีน้ำแข็งปกคลุมมากที่สุดในโลก

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซ่า สำรวจพบว่า

ภูเขาน้ำแข็งขนาดมหึมา ใหญ่กว่ารัฐนิวยอร์ค 2 เท่า

กำลังแตกออกจากชั้นน้ำแข็งของทวีปแอนตาร์กติกา

ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์พบรอยแยกของก้อนน้ำแข็งมาหลายปีแล้ว

แต่เกิดรอยแยกใหม่ และยาวเพิ่มขึ้นทุกปี จนเชื่อว่า อีกไม่นาน

ภูเขาน้ำแข็งขนาด 1,700 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1,00,000 ไร่

ใหญ่กว่ากรุงเทพมหานคร จะแตกออกละลายสู่มหาสมุทร

 

ทุกวันนี้น้ำแข็งทั่วโลกละลายปีละมากกว่า 370,000 ล้านตัน

มากกว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนถึงห้าเท่า

ผู้เชียวชาญการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เตือนเราว่า

หากชาวโลกสามารถหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สำเร็จตอนนี้

แต่น้ำแข็งก็ยังจะละลายต่อไปอีก10—30 ปี

สาเหตุทั้งหมด ก็มาจาก ปัญหาโลกร้อนขึ้นเรื่อย ๆ  จากก๊าซเรือนกระจก

โดยเฉพาะปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศ

นักวิทยาศาสตร์หวั่นเกรงว่า หากปริมาณก๊าซชนิดนี้เกิน 400 ppm

(โมเลกุลในทุก ๆ 1 ล้านโมเลกุลของมวลอากาศ หรือ  (parts per million)  หายนะของโลกมาเยือนแล้ว

แต่ล่าสุด นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ ตรวจพบระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ

เพิ่มสูงสุดในประวัติศาสตร์นับแต่เริ่มมีการบันทึก

โดยพบว่าก๊าซเรือนกระจกนี้สูงมากกว่า 415 ppm   เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 3 ล้านปี

นับเป็นสัญญาณเตือนภัยในขณะที่มนุษย์ยังคงปล่อยก๊าซชนิดนี้อย่างไม่ลดละ

อากาศอันร้อนจัด และน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว คือผลพวงจากสิ่งเหล่านี้

 

สุดท้ายคนรุ่นหลังกำลังรับเคราะห์กรรมอันหลีกเลี่ยงไม่ได้

ล่าสุดนักวิทยาศาสตรจากสหรัฐและอังกฤษพบว่า

ธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายเร็วขึ้นถึง 3 เท่าในแค่ช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

นั่นหมายความว่า อัตราการละลายเพิ่มขึ้นทุกปี อย่างน่าตกใจ

จนไม่อาจคำนวณได้ว่า น้ำทะเลจะสูงขึ้นเพียงใด และเมื่อไรน้ำจะท่วมเมืองชายฝั่ง

เพราะนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเห็นพ้องกันว่า

ความรู้วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ทุกวันนี้ ไม่เพียงพอจะทำนายผลกระทบของโลกร้อนได้อย่างแม่นยำ

 

อีก 10 ปี  20 ปี หรือเร็วกว่านั้น

กรุงเทพมหานคร ก็มิอาจรอดได้ จากน้ำท่วม

อะไรที่ไม่เคยเห็น ชีวิตนี้โปรดติดตามดูด้วยใจระทึก

One thought on “ดูท่าทางโลกจะไม่รอด

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s