
ต้นปี 2535 ประชาชนเริ่มไม่พอใจรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและสืบทอดอำนาจคณะรัฐประหาร รสช.
จนเมื่อพลเอก สุจินดา คราประยูร ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ความไม่พอใจก็กระจายไปทั่ว
เกิดการประท้วงขึ้นหลายครั้ง
เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลลาออก
ตอนนั้นผมเป็นบรรณาธิการนิตยสาร สารคดี มีที่ทำการอยู่บริเวณสะพานผ่านฟ้า ย่านใจกลางการต่อสู้
ช่วงเวลานั้น ผมและชาวสารคดีเข้าร่วมการประท้วงแทบทุกวัน
ตั้งแต่สนามหลวง รัฐสภา
บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ตกค่ำปูเสื่อกินนอนกันบนพื้นถนน
อันระอุด้วยไอร้อนนานนับเดือน
เรียกว่าทำงานเสร็จ (ที่ทำงานอยู่แถวสะพานผ่านฟ้า) ก็มานั่งกลางถนนหน้าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และนอนค้างคืนกลางพื้นคอนกรีตอันร้อนระอุ
คนที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่เป็นคนทำงาน ผู้คนนับแสนจะหนาแน่นช่วงเย็นไปถึงค่ำ และในที่ชุมนุมจะมีคนใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อกันพอสมควร
จนเรียกกันว่า ม็อบมือถือ
เวลานั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับรัฐบาลทหาร
ประชาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่แตกแยกเป็นสองฝ่ายอย่างทุกวันนี้
จำได้ว่าโฆษกบนเวทีที่แจ้งเกิด คือ ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์จากม.ราม ผู้นำนักศึกษาคือปริญญา เทวานฤมิตรกุลจากมธ. และ กรุณา บัวคำศรี จากจุฬา จำลอง ศรีเมือง ครูประทีป อึ๊งทรงธรรม พิภพ ธงไชย กับหมอเหวง ล้วนเป็นพันธมิตรกันเหนียวแน่น ขึ้นเวทีทุกค่ำคืน
จำได้ว่า ทุกค่ำคืนจะมีการอบรมการป้องกันตัวหากเจอกับแก๊สน้ำตา หรือหากทหารบุกเข้ามาให้นอนเฉย ๆ อย่าทำอะไร
คืนวันที่ 17 พฤษภาคม ขบวนผู้ประท้วงนับแสนคน เดินจากสนามหลวงจะไปทำเนียบรัฐบาล แต่ถูกรั้วลวดหนามและทหารจำนวนมาก ขวางทางที่สะพานผ่านฟ้า
ซึ่งผู้ชุมนุมเรียกกันว่า “กำแพงเบอร์ลิน” ผู้ชุมนุมบางพยายามขอร้องเจ้าหน้าที่ให้เปิดทางแต่ได้รับการปฏิเสธ
บางส่วนจึงเริ่มรื้อรั้วลวดหนาม
เจ้าหน้าที่รัฐจึงใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำเข้าใส่จนหมด แล้วสูบน้ำจากคลองรอบกรุงซึ่งเป็นน้ำเน่าเหม็นฉีดใส่ฝูงชน จากนั้นก็ได้เกิดความโกลาหล
ผู้ชุมนุมตอบโต้ด้วยการขว้างปาสิ่งของใส่ เจ้าหน้าที่จึงตอบโต้ด้วยการทุบตีทำร้าย
โรงพักสถานีตำรวจนางเลิ้ง ที่อยู่แถวนั้นก็ถูกมือลึกลับจุดไฟเผา
รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน
สักพักกองทหารที่ยืนอยู่จำนวนมากที่ถนนราชดำเนินนอกแถวกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ก็ยิงปืนกลขึ้นฟ้า ผมเห็นกระสุนเป็นเป็นประกายไฟพุ่งเป็นลำตัดกับความมืดของท้องฟ้า
ยิงติดต่อกันเกือบตลอดคืน
ไม่รู้ว่ายิงลงระดับสายตามั่งหรือไม่
รู้แต่ว่าคนวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น
ส่วนใหญ่ไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
คืนนั้นเสียงปืนดังก้องอยู่ในหัวทั้งคืนและติดต่อกันไปอีกหลายวัน
ตอนนั้นออฟฟิศของสารคดี
กลายเป็นศูนย์กลางการส่งข่าวของนักข่าวทั้งในและนอกประเทศ
เพราะน่าจะอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากที่สุด พรรคพวกนักข่าวเลยขอมาใช้เป็นที่ส่งข่าว
คืนนั้นมีนักข่าวหลายสิบคนเข้า ๆออก ๆ อยู่ที่สารคดีกันทั่งวันทั่งคืน
เช้าวันที่ 18 ผมออกมาดูประชาชนจำนวนมากที่ยังเหลืออยู่บนถนนราชดำเนิน
พอสาย ๆ ทหารก็จับจำลอง ศรีเมืองไป
และหลังจากนั้น กองทหารและตำรวจ 6,000 คน มีรถถังจอดอยู่หลายคัน ก็เริ่มเดินเข้าหาประชาชน เพื่อสลายการชุมนุมโดยเรียงหน้าระดมยิงผู้ชุมนุมไล่ไปจนถึงกรมประชาสัมพันธ์และโรงแรมรัตนโกสินทร์ พร้อมทั้งเสียงปืนดังกันทั้งคืน เสียงรถหวอพยาบาลดังตลอด
ผู้คนจำนวนมากถูกจับกุม ถูกทหารกระทืบ
แต่อีกนับร้อยคนบาดเจ็บและโดนยิงตายคาที่
คืนนั้นผมเห็นชายฉกรรจ์นอกเครื่องแบบซ้อนมอเตอร์ไซค์ ชูปืนกล เอ็ม 16 นับสิบคันรวมตัวกัน
คอยออกไล่ล่าผู้คนตามท้องถนน
หลายครั้งที่เสียงปืนกลยังดังก้องอยู่ในหัวผม
19 พค. ประชาชนนับแสนไปรวมตัวกันใหม่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง
และ 24 พค. พลเอกสุจินดา ยอมลาออกจากตำแหน่ง
หลังเหตุการณ์คลี่คลายลง
พวกเราเดินไปตามท้องถนนราชดำเนิน เห็นรอยกระสุนและคราบเลือดจำนวนมาก ที่ยังลบไม่ออก คาดว่าคนตายมากกว่า 40 คน บาดเจ็บนับร้อยคน และทุกวันนี้ยังหายสาบสูญอีกจำนวนหนึ่ง
เคยคิดว่า เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดเป็นครั้งสุดท้าย แต่คิดผิดไปแล้ว
เพราะได้เกิดเหตุการณ์ที่อัปยศและ
เลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่า
เราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย