เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมสังเกตการณ์การประท้วงของกลุ่ม
Extinction Rebellion บริเวณริมทะเลสาบ
เมือง Dunedin ประเทศ New Zealand
Extinction Rebellion เป็นกลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
เริ่มประท้วงในกรุงลอนดอน และกระจายไปตามหัวเมืองใหญ่ ๆ ทั่วโลก
อาทิ ฝรั่งเศส แคนาดา เม็กซิโก อิตาลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ
เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลได้หันมาสนใจปัญหา โลกร้อน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อย่างจริงจัง
การประท้วงของกลุ่ม Extinction Rebellion
ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่ผ่านมา
กลุ่มผู้ประท้วงได้เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ
และหยุดปล่อยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างสิ้นเชิงภายในปี 2025
ทุกวันนี้ ภาวะโลกร้อนทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว
ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือเร็วขึ้น 6 เท่า
เมื่อเทียบกับ 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก
ในกรุงลอนดอน มีการประท้วงนานติดต่อกันหลายวัน ค่อนข้างดุเดือด
กลุ่มนักเคลื่อนไหวผู้ประท้วงใช้วิธีการนั่งชุมนุมปิดถนนสายสำคัญในกรุงลอนดอน
และโจมตีสำนักงานบริษัทน้ำมันเชลล์
เพื่อกดดันรัฐบาลและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ตำรวจได้จับกุมผู้ประท้วงแล้วราว 800 ราย
ที่ประเทศนิวซีแลนด์
กลุ่มนักเคลื่อนไหวได้ลงไปตั้งโต๊ะอาหารนั่งประท้วงริมทะเลสาบ ด้วยความสงบ
ผู้เขียนสังเกตว่า คนมาประท้วงมีทั้งคนหนุ่มสาว และคนสีดอกเลา
ทุกคนมาด้วยความสงบ และมีจุดประสงค์เดียวกันคือ
ต้องการให้ผู้มีอำนาจในโลกนี้สนใจปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง
และเร่งด่วน ก่อนจะสายเกินไป
ในเวลาไล่เลี่ยกัน
เกรตา ธันเบิร์ก นักสิ่งแวดล้อมชาวสวีเดน วัย 16 ปีชื่อดัง
ที่ล่าสุดได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อบรรดาผู้นำประเทศ เลขาธิการสหประชาชาติ
และนักการเมืองระดับสูง ในงานประชุมภาคีแห่งสหประชาชาติ
ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 24 (COP 24) ที่โปแลนด์
จนกลายเป็นสุนทรพจน์ประวัติศาสตร์ได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง
“พวกคุณบอกว่าคุณรักลูกหลานของคุณเหนือสิ่งอื่นใด
แต่คุณกลับขโมยอนาคตของพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา
พวกคุณพูดกันแต่ว่าต้องก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยความคิดแย่ๆ
แบบเดิมที่ทำให้เราต้องผจญวิกฤตการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน
ทั้งๆ สิ่งที่น่าจะต้องทำที่สุดคือการดึงเบรกฉุกเฉิน”
เมื่อวันที่ 23 เมษายน ที่ผ่านมา สาวน้อยเกรตา
ได้เดินทางไปพบนักการเมืองสำคัญหลายคนของสหราชอาณาจักร
โดยเธอได้กล่าวถึงประเด็นสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
และย้ำเตือนให้กับคนเหล่านี้ว่า
“พวกคุณไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะยอมรับความจริง
และทิ้งปัญหาไว้ให้กับพวกเรา เด็กๆ ทั้งหลาย
คนรุ่นเธออาจจะไม่เหลืออนาคตแล้ว
เพราะว่าคนรุ่นก่อนได้ขโมยอนาคตของพวกเธอไปหมด”
ไม่มีใครทราบว่าแรงกดดันจากกลุ่มนักเคลื่อนไหว Extinction Rebellion
และการเดินสายพูดของสาวน้อยเกรต้า จะส่งผลอะไรบ้าง
แต่เมื่อวันที่ 1 พค.ที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่ดังในวงการสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
เมื่อรัฐสภาอังกฤษมีมติประกาศให้ภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องฉุกเฉิน
ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศโลก
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ
สมาชิกสภาได้เห็นชอบกับการ
ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศโลก
ตามข้อเสนอของ นายเจเรอมี คอร์บิน หัวหน้าพรรคแรงงาน และผู้นำฝ่ายค้านในสภา
ซึ่งออกโรงเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษเร่งดำเนินมาตรการ
คุ้มครองสิ่งแวดล้อมเพื่อประชาชนรุ่นต่อไป
แม้ว่าการประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้
จะไม่มีการออกนโยบายหรือมาตรการรูปธรรมใด ๆ ออกมา
เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิอากาศ
และอาจมีผลในเชิงสัญลักษณ์มากกว่า
แต่รัฐสภาอังกฤษหวังว่า การประกาศภาวะฉุกเฉินครั้งนี้
จะเป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลอังกฤษได้มีจุดยืนชัดเจนในการแก้ปัญหา
และเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐบาลทั่วโลกหันมาสนใจแก้ไขวิกฤตินี้อย่างจริงจัง
เราอาจจะเห็นความขัดแย้งในเรื่องนี้ระหว่างอังกฤษ กับลูกพี่ใหญ่คือ สหรัฐอเมริกา
ที่ต่อต้านปัญหาการแก้ไขโลกร้อนมาโดยตลอด
นักวิทยาศาสตร์ทำนายว่า ภายในไม่กี่สิบปีข้างหน้า
หากไม่มีลงมือทำอะไรอย่างจริงจัง
โลกจะพบกับหายนะอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแน่นอน
การรุกคืบของขบวนการสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
กำลังเดินหน้าอย่างเงียบ ๆ