เมื่อไม่นานมานี้ ขณะผู้เขียนเดินเล่นอยู่ในเมืองซัปโปโร เกาะฮอกไกโด
สังเกตเห็นผู้คนจำนวนมากเข้าคิวเพื่อรอชมการแสดงแห่งหนึ่ง
ด้วยความหนาวเหน็บต่ำกว่าศูนย์องศาอย่างอดทน
อาจจะเป็นภาพชินตาในสังคมญี่ปุ่น
แต่ผู้เขียนยืนดูอยู่นาน และหวนคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้
“วัฒนธรรมการเข้าคิวของคนญี่ปุ่น
สะท้อนว่า
พวกเขาเชื่อมั่นในความยุติธรรม
พวกเขาเชื่อว่าสังคมญี่ปุ่นมีความยุติธรรม
พอที่ทุกคนจะได้รับการจัดสรรสินค้าโดยทั่วถึงกัน
และหมายรวมไปถึงความยุติธรรมในเรื่องอื่น ๆด้วย”
หลายปีก่อน เพื่อนคนหนึ่งผู้เคยเรียนในประเทศญี่ปุ่นได้ให้ความเห็น
เมื่อผู้เขียนถามถึงเรื่องการเข้าคิวซื้อของของคนญี่ปุ่น
ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวใต้ทะเลด้วยความรุนแรงขนาด 9 ริกเตอร์
ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงนับสิบเมตรถล่มเกาะญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554
ภาพคนญี่ปุ่นเข้าคิวรอซื้อสินค้า
หรือรอรับการแจกของจากเจ้าหน้าที่นานนับชั่วโมง
อย่างมีวินัยอดทนเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากเพิ่งเผชิญกับภัยพิบัติร้ายแรงที่สุดในรอบสามร้อยปี
สร้างความประทับใจให้คนทั้งโลกว่า
คนญี่ปุ่นนิ่งและมีสติมั่นคงกับการเผชิญหน้ากับหายนะครั้งนี้ได้อย่างไรกัน
ภายใต้สถานการณ์อันตึงเครียด
การขาดแคลนน้ำ อาหาร ไฟฟ้า ยารักษาโรค
ภายใต้ความหวั่นวิตกกับสารกัมมันตภาพรังสี
แต่เราไม่เห็นภาพคนญี่ปุ่นก่อการจลาจลแย่งชิงอาหาร
ฉวยโอกาสปล้นร้านค้า ทำร้ายผู้เดือดร้อน
จนทางการต้องส่งทหารตำรวจเข้ามาควบคุมความวุ่นวาย
เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
เราไม่เห็นคนญี่ปุ่นตะโกนด่าทอรัฐบาล เจ้าหน้าที่บ้านเมือง
เห็นเพียงแต่ชาวญี่ปุ่นที่ยอมรับความสูญเสีย ก้มหน้ารับชะตากรรมที่เกิดขึ้น
แม้ว่าคนญี่ปุ่นจะเป็นชาติที่วางแผนเตรียมตัวมาดีที่สุดในโลกในการรับมือกับแผ่นดินไหว
แต่ยอมรับว่าครั้งนี้สู้ไม่ได้ แต่คนญี่ปุ่นเป็นคนไม่ยอมพ่ายแพ้
เราจึงเห็นคนญี่ปุ่นทุกคนร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลืออย่างมีวินัย
ไม่มีเสียงบ่น เสียงตะโกนด่าทอว่าเป็นความผิดของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เห็นความร่วมมือร่วมใจในการค้นหาผู้บาดเจ็บและสูญหายอย่างเป็นระเบียบ
เห็นความสามัคคี ความอดทนของลูกหลานซามูไรเหล่านี้
ในเว็บข่าวหนึ่ง ได้มีคนอเมริกันเขียนข้อความแสดงความรู้สึกต่อเหตุการณ์ครั้งนั้น
เปรียบเทียบกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในสหรัฐเมื่อก่อนหน้านี้ว่า
“ตอนที่พายุเฮอริเคนแคทรินาได้พัดถล่มอ่าวเม็กซิโก
สร้างความเสียหายรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
โดยเฉพาะเมืองนิวออร์ลีนส์
ภาพที่ปรากฎเห็นชัดก็คือ เราเห็นคนอเมริกันออกมาโวยวายด่ารัฐบาล
เห็นหัวขโมยออกมาฉกชิงวิ่งราว หยิบฉวยสิ่งของต่าง ๆ ไปจากร้านค้า
จนถึงแย่งชิงสิ่งของจากผู้บริจาค
แต่เราไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศญี่ปุ่นเลย
แม้ขนาดความเสียหายจากสึนามิครั้งนี้จะมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้เลย”
ท่ามกลางการสูญเสียชีวิตนับหมื่นคน
ท่ามกลางการสูญเสียนับแสนล้านเหรียญ
แต่คนญี่ปุ่นได้ชนะใจคนทั้งโลกจากแววตาอันมุ่งมั่น
จากความอดทนและการเข้าคิว
โศกนาฏกรรมครั้งนี้สอนให้เรารู้ว่า
คนญี่ปุ่นสร้างชาติมาจากการเข้าคิว
ที่แสดงความมีวินัย ความอดทน การรู้จักรอคอย
แต่วินัยในความหมายของคนญี่ปุ่น
ไม่ได้มีความหมายแค่การทำตามคำสั่ง
อาทิ นักเรียนทำตามคำสั่งครู ทหาร ตำรวจทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาแบบคนไทย
หรือวินัยแค่การยืนตรงเคารพธงชาติตอนหกโมงเย็นเท่านั้น
แต่วินัยของคนญี่ปุ่นคือการแสดงออกถึงการเคารพสิทธิของคนอื่น
เคารพสิทธิของคนเข้าคิวก่อน เคารพการอยู่ร่วมกันในสังคม
ทุกคนทำตามกติการของสังคมอย่างเสมอภาค
เวลาข้ามทางม้าลายในประเทศนี้
เพียงแค่เรามายืนอยู่ตรงริมถนน คนขับรถก็จะชะลอรถ
หยุดให้คนเดินข้ามทางม้าลาย
เพราะเคารพสิทธิของคนข้ามถนนก่อน
ขณะที่หลายประเทศพอคนมายืนริมฟุตบาท คนขับรถกลับเหยียบคันเร่งทันที
ที่สำคัญคือ
ในอดีตที่ผ่านมาญี่ปุ่นมีพลเมืองอาศัยบนเกาะจำนวนมาก
พื้นที่จำกัด ทรัพยากรจำกัด
คนญี่ปุ่นจึงเข้าใจดีว่า
การจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรมจะเกิดขึ้นได้
เมื่อทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
ภายใต้กฎกติกาที่ทุกคนต้องเคารพร่วมกัน
ไม่มีอภิสิทธิ์ชน หรือใครมีสีใครมีเส้นสามารถมีสิทธิเหนือคนอื่น
และคนญี่ปุ่นทราบดีว่า
ประเทศของตัวเองเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ
ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
ไม่ว่าสึนามิ แผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น
การช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุด
เพื่อการอยู่รอดของทุกคน
ดังนั้นความคิดถึงส่วนรวม จึงมาก่อนความคิดถึงตัวเอง
เพราะทัศนคติที่ว่า
ส่วนรวมต้องมาก่อนส่วนตัวนั้น
เป็นหลักสำคัญในการทำให้สังคมมนุษย์อยู่รอดได้
คนญี่ปุ่นปลูกฝังเรื่องที่ว่า
“ส่วนรวมย่อมมาก่อนส่วนตัว”อยู่ในดีเอ็นเอของพวกเขามาช้านานแล้ว
คนญี่ปุ่นยังมีเลือดบูชิโดอยู่ในสายเลือดอย่างเต็มเปี่ยม
และน่าสนใจว่าพวกเขาถ่ายทอดวัฒนธรรมเหล่านี้
ไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้อย่างไร
บูชิโดเป็นจริยธรรมของนักรบซามูไร
ช่วยให้ญี่ปุ่นมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน
เพราะบูชิโดสอนให้คนมีความกล้าหาญ มีความเป็นสุภาพบุรุษ
มีความรักชาติ มีความรักครอบครัวและเคารพต่อบรรพบุรุษ
บูชิโดจึงเป็นดวงวิญญาณของนักรบ
อยู่เหนือการศึกษาทั้งหลายของญี่ปุ่น
บูชิโดสอนและฝึกให้คนมีความอดทนต่อความเจ็บปวด
ทั้งทางร่างกายและทางใจ
จะต้องสามารถซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใบหน้า
รู้จักข่มใจตนเอง
ไม่ยอมปล่อยร่างกายตกเป็นทาสของความต้องการ
ไม่ยอมย่อท้อต่อความยากลำบาก
และเลือดบูชิโดสอนให้คนญี่ปุ่น
มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสูงมาก
มีความละอายต่อความผิดพลาด
และการทำผิดของตน
แทนที่จะไปกล่าวโทษคนอื่น
และหากเกิดความผิดพลาดร้ายแรงขึ้นมา
การแสดงความรับผิดชอบสูงสุดก็คือการฆ่าตัวตาย
ตั้งแต่พิธีฮาราคีรีหรือการคว้านท้องฆ่าตัวตายในอดีต
มาจนถึงปัจจุบันที่สถิติการฆ่าตัวตายของชนชาตินี้สูงติดอันดับโลก
ซึ่งเรามักจะได้ยินข่าวเด็กนักเรียนกระโดดตึกฆ่าตัวตาย
เพราะสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยบ่อย ๆ
การเข้าคิว ความอดทน วินัย
และความรู้สึกหน้าบางละอายต่อความผิดของคนญี่ปุ่น สร้างชาติฉันใด
การแย่งชิง ทะเลาะด่าทอกัน ความรู้สึกไม่เท่าเทียม
ก็สามารถทำลายชาติได้ฉันนั้น