ปี พ.ศ.2522 เป็นปีแรกที่ผมเข้าเป็นนักศึกษาปี 1 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ช่วงเวลานั้นเพิ่งผ่านเหตุการณ์สังหารหมู่ใูนธรรมศาสตร์ 6 ตลุาคม 2519 ได้เพียง 3 ปี
บรรยากาศในมหาวิทยาลัยยังอยู่ในช่วงฟื้นไข้จากเหตุการณ์หฤโหด
กิจกรรมนักศึกษาเพิ่งกลับมาแต่ยังซบเซา
ปกคลุมไปด้วยความหวาดระแวง อึมครึม
มีเรื่องต้องห้ามมากมายที่ห้ามพูดห้ามเอ่ย
ถึงจำได้ว่าบริเวณทางเข้าประตูท่าพระจันทร์
มีโปสเตอร์ตีพิมพ์จดหมายของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จากประเทศอังกฤษ
เป็นลายมือเขียนด้วยมือซ้าย
ด้วยเหตุว่าท่านเพิ่งฟื้นจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก
พูดไม่ได้ มือขวาใช้การไม่ได้ แต่ความทรงจำยังดี
อาจารย์ป๋วยเขียนคำอวยพรสั้นๆ
ถึงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเดินสู่รั้วเหลืองแดงเป็นครั้งแรก
ธรรมศาสตร์เรียกนักศึกษาปีหนึ่งว่า เพื่อนใหม่ ไม่ใช่ น้องใหม่ มานานแล้ว
เวลานั้นไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง นายปรีดี พนมยงค์
อดีต ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย
ผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อดีตหัวหน้าเสรีไทย ที่ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
และเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสามสมัย
ขณะนั้นท่านอยู่ในประเทศฝรั่งเศส
ชื่อปรีดี พนมยงค์ เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสังคมไทยมานานกว่า 30 ปีแล้ว
ตั้งแต่ท่านลี้ภัยการเมืองภายหลังรัฐประหารปี 2490
จะมีข่าวสารเรื่องราวของท่านในสังคมก็เพียงช่วงเวลาสั้นๆ
ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
เมื่อประชาชนและนิสิต นักศึกษาหลายแสนคนได้เดินขบวน ต่อสู้
จนโค่นล้มเผด็จการทหารลงได้สำเร็จ
แต่พอหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เรื่องราวของท่านกลับเงียบหาย
แม้ในมหาวิทยาลัยที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งก็ยังไม่มีใครพูดถึงในที่แจ้ง
หนังสือเกี่ยวกับปรีดีตามชั้นหนังสือในห้องสมุดมีแทบนับเล่มได้
ในเวลานั้นปรีดี พนมยงค์ คนในสังคมรู้เพียงว่า
เขาคือหนึ่งในคณะราษฎรที่จะล้มสถาบันกษัตริย์
เป็นผู้เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 8
และเป็นคอมมิวนิสต์
เกียรติคุณของท่านในเวลานั้นรู้กันเฉพาะในหมู่คนที่สนใจศึกษา
และไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงความเห็นในที่สาธารณะ
สำหรับผม 4 ปีเต็มกับชีวิตการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย
ทำให้ผมมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวของอาจารย์ปรีดีเป็นประจำ
จนกระทั่งปลายปี 2525 ผมมาช่วยเตรียมงานแปรอักษรของชุมนุมเชียร์
ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคมปีถัดไป
ผมเห็นปฏิทินของสหกรณ์ธรรมศาสตร์เป็นรูปปรีดี พนมยงค์
พร้อมคำกลอนบทหนึ่งว่า
“พ่อนำชำติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อ ‘ปรีดี’
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”
ผมได้ไปปรึกษาคุณอดุลย์ โฆษะกิจจาเลิศ ประธานชุมนุมเชียร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท
ว่างานบอลประเพณีฯ ที่จะมีในเดือนหน้า
เราน่าจะแปรอักษรเป็นข้อความนี้
และเปิดรูปอาจารย์ปรีดีบนสแตนด์เชียร์
ที่เต็มพรืดด้วยนักศึกษาจำนวน 2,500 คน
เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า
นักศึกษาธรรมศาสตร์รุ่นนี้ไม่เคยลืมอาจารย์ปรีดี
คุณอดุลย์เห็นด้วย
และบอกว่าพวกเราอยู่ปี 4 กันแล้ว
น่าจะทำอะไรเป็นการตอบแทนผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในบั้นปลายชีวิตของท่าน
พวกเราสอบถามจนพบว่า
คนเขียนกลอนบทนี้เป็นเพื่อนคณะนิติศาสตร์ชื่อเล่นว่า เทียน
เราก็ได้ขออนุญาตนำกลอนของเขามาทำภาพแปรอักษร
ต่อมาจึงประกาศให้ทีมงานบางคนทราบว่า
การแปรอักษรครั้งนี้จะเป็นครั้งประวัติศาสตร์
ที่ลูกแม่โดมจะเผยแพร่รูปอาจารย์ปรีดีสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก
เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ถ่ายทอดสดตลอดรายการ
เราตกลงกันว่าการแปรอักษรนี้จะเป็นความลับ
รู้กันไม่กี่คนไม่บอกอาจารย์หรือศิษย์เก่าใดๆ
เพราะกลัวว่าจะถูกผู้ใหญ่บางคนห้ามปรามด้วยความหวาดกลัว
เวลานั้นพวกเราวางแผนกันว่า
หากแปรอักษรไปแล้วเกิดมีตำรวจหรือสันติบาลมาถามหา
ก็นัดแนะกันว่าจะหนีไปทางไหน
และจะไม่ซัดทอดกัน หากมีการถูกจับกุม
ก็ให้มีคนโดนจับน้อยที่สุด
พอถึงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2526
งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 39 เริ่มขึ้น ณ สนามศุภชลาศัย
เราวางแผนล่วงหน้ากับทางโฆษกสนาม
ขณะที่ขบวนพาเหรดล้อการเมืองเข้าสู่สนามได้สักพัก
พอได้เวลาถ่ายทอดสด เราก็วิทยุไปยังโฆษก
บอกผู้ชมให้ตั้งใจดูหน้าสแตนด์เชียร์ธรรมศาสตร์
เพราะจะได้พบปรากฏการณ์ครั้งแรกและให้กล้องโทรทัศน์เตรียมจับภาพ
บนอัฒจันทร์เริ่มแปรอักษรเป็นคำกลอน ทีละวรรค
“พ่อนำชำติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อ ‘ปรีดี’
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”
พร้อมกับที่โฆษกสนามอ่านกลอนบทนี้ดังก้องสนามศุภชลาศัย
ปิดท้ายด้วยภาพอาจารย์ปรีดี พนมยงค์
มีฉากหลังเป็นรูปโดม สัญลักษณ์ของ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
เมื่อโฆษกสนามพูดบทกลอนซ้ำอีกครั้ง
ในสนามเงียบก่อนที่เสียงปรบมือจะดังลั่น
ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ศิษย์เก่า ต.มธก. หลายคนยืนขึ้น
น้ำตาไหลด้วยความดีใจเพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 30 กว่าปี
ที่มีการพูดถึงอาจารย์ปรีดีชัดเจนในที่สาธารณะ
ขณะที่นักศึกษาบนอัฒจันทร์โห่ร้องด้วยความยินดี
ที่ตนในฐานะลูกแม่โดมได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้
พอแปรอักษรรูปนี้เสร็จ
พวกเราที่อยู่ด้านล่างทำหน้าที่ควบคุมสแตนด์เชียร์
ต่างสวมกอดกันด้วยความดีใจ
ที่สามารถทำให้อาจารย์ปรีดีออกมาสู่พื้นที่สาธารณะได้เป็นครั้งแรก
และโชคดีที่ไม่มีตำรวจ หรือสันติบาลมาสอบถามอะไร
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา
ชุมนุมเชียร์ก็ได้รับจดหมายจากอาจารย์ปรีดีส่งตรงจากประเทศฝรั่งเศส
ความว่ามีคนส่งภาพการแปรอักษรครั้งนี้ไปให้ท่านดู
จึงเขียนจดหมายมาขอบใจคนที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ยังรำลึกถึงท่าน
2 พฤษภาคมปีเดียวกัน
ปรีดี พนมยงค์ ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ
ณ บ้านพักชานกรุงปารีส
เมื่อได้ทราบข่าวผมรู้สึกสะเทือนใจ
ที่คนทำงานหนักเพื่อแผ่นดินมาตลอดชีวิต
ไม่อาจกลับมาตายที่บ้านเกิดได้
ขณะที่ความตายของท่านทำให้ผู้มีอำนาจผ่อนคลายลง
และเริ่มมีคนพูดถึงท่านมากขึ้น
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้สร้างอนุสาวรีย์รำลึกถึงท่านเป็นครั้งแรก
มีการประกาศเกียรติคุณ พิมพ์ผลงานความคิดของปรีดีออกมาเรื่อยๆ
นับจากนั้น ชื่อ ปรีดี พนมยงค์
ไม่กลายเป็นสิ่งต้องห้ามเหมือนในอดีตอีกต่อไป
แต่เมื่อทางครอบครัวจะนำอัฐิของท่านกลับเมืองไทยในปี 2529
กลับไม่ได้รับการต้อนรับหรือไม่ได้รับเกียรติยศใดๆ จากรัฐบาล
ทั้งที่ในฐานะอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าเสรีไทย
ท่านได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมาตลอดชีวิต
ในช่วงนั้น ผมได้รับการติดต่อจากอาจารย์ธรรมศาสตร์ให้ไปช่วยตบแต่งรถเชิญอัฐิ
เมื่อพวกเราไปถึงสนามบินดอนเมืองก็ต้องประหลาดใจ
ไม่มีพิธีกรรมใดๆ สำหรับสามัญชนผู้นี้
มีเพียงญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ลูกหา ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ผมโชคดีได้เป็นผู้ถือผอบบรรจุอัฐิของท่าน
บนรถตลอดทางจากดอนเมืองสู่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์
จำได้ว่าเมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยฝนตกหนัก
ลูกศิษย์ลูกหาที่ทราบข่าวต่างมารอรับอย่างเนืองแน่น
จากนั้นเราลงเรือตำรวจน้ำ ดำรงราชานุภาพ ไปลอยอังคารในอ่าวไทย
แต่เกียรติคุณของท่านได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจังภายหลังปี 2543
เมื่อยูเนสโกยกย่องท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก
ในโอกาส 100 ปีชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสศึกษาชีวิตของอาจารย์ปรีดี
ได้สัมผัสท่านผ่านท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และลูกหลานมาหลายครั้ง
ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของท่านเป็นตัวหนังสือ
จึงพอจะเข้าใจชีวิตและความคิดของท่านพอสมควร
ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ใหญ่ไม่กี่คนในชีวิตที่ผมสามารถก้มลงกราบได้อย่างสนิทใจ
และหากมีโอกาสไปธรรมศาสตร์คราใด
ก็ไม่ลืมที่จะนำพวงมาลัยไปกราบท่าน
สามัญชนผู้อยู่ในหัวใจของผมมาโดยตลอด