การแปรอักษรครั้งประวัติศาสตร์กับปรีดี พนมยงค์

 

IMG_9457

 

ปี พ.ศ.2522 เป็นปีแรกที่ผมเข้าเป็นนักศึกษาปี 1 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ช่วงเวลานั้นเพิ่งผ่านเหตุการณ์สังหารหมู่ใูนธรรมศาสตร์ 6 ตลุาคม 2519 ได้เพียง 3 ปี

บรรยากาศในมหาวิทยาลัยยังอยู่ในช่วงฟื้นไข้จากเหตุการณ์หฤโหด

กิจกรรมนักศึกษาเพิ่งกลับมาแต่ยังซบเซา

ปกคลุมไปด้วยความหวาดระแวง อึมครึม

มีเรื่องต้องห้ามมากมายที่ห้ามพูดห้ามเอ่ย

ถึงจำได้ว่าบริเวณทางเข้าประตูท่าพระจันทร์

มีโปสเตอร์ตีพิมพ์จดหมายของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ จากประเทศอังกฤษ

เป็นลายมือเขียนด้วยมือซ้าย

ด้วยเหตุว่าท่านเพิ่งฟื้นจากอาการเส้นโลหิตในสมองแตก

พูดไม่ได้ มือขวาใช้การไม่ได้ แต่ความทรงจำยังดี

อาจารย์ป๋วยเขียนคำอวยพรสั้นๆ

ถึงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเดินสู่รั้วเหลืองแดงเป็นครั้งแรก

ธรรมศาสตร์เรียกนักศึกษาปีหนึ่งว่า เพื่อนใหม่ ไม่ใช่ น้องใหม่ มานานแล้ว

เวลานั้นไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง นายปรีดี พนมยงค์

อดีต ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

ผู้ให้กำเนิดรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย

ผู้ก่อตั้งและผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อดีตหัวหน้าเสรีไทย ที่ทำให้ประเทศไทยไม่ต้องเป็นฝ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง

อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

และเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสามสมัย

ขณะนั้นท่านอยู่ในประเทศฝรั่งเศส

ชื่อปรีดี พนมยงค์ เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสังคมไทยมานานกว่า 30 ปีแล้ว

ตั้งแต่ท่านลี้ภัยการเมืองภายหลังรัฐประหารปี 2490

จะมีข่าวสารเรื่องราวของท่านในสังคมก็เพียงช่วงเวลาสั้นๆ

ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

เมื่อประชาชนและนิสิต นักศึกษาหลายแสนคนได้เดินขบวน ต่อสู้

จนโค่นล้มเผด็จการทหารลงได้สำเร็จ

แต่พอหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เรื่องราวของท่านกลับเงียบหาย

แม้ในมหาวิทยาลัยที่ท่านเป็นผู้ก่อตั้งก็ยังไม่มีใครพูดถึงในที่แจ้ง

หนังสือเกี่ยวกับปรีดีตามชั้นหนังสือในห้องสมุดมีแทบนับเล่มได้

ในเวลานั้นปรีดี พนมยงค์  คนในสังคมรู้เพียงว่า

เขาคือหนึ่งในคณะราษฎรที่จะล้มสถาบันกษัตริย์

เป็นผู้เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตในหลวงรัชกาลที่ 8

และเป็นคอมมิวนิสต์

เกียรติคุณของท่านในเวลานั้นรู้กันเฉพาะในหมู่คนที่สนใจศึกษา

และไม่มีใครกล้าพูดกล้าแสดงความเห็นในที่สาธารณะ

 

สำหรับผม 4 ปีเต็มกับชีวิตการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัย

ทำให้ผมมีโอกาสได้ศึกษาเรื่องราวของอาจารย์ปรีดีเป็นประจำ

จนกระทั่งปลายปี 2525 ผมมาช่วยเตรียมงานแปรอักษรของชุมนุมเชียร์

ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคมปีถัดไป

ผมเห็นปฏิทินของสหกรณ์ธรรมศาสตร์เป็นรูปปรีดี พนมยงค์

พร้อมคำกลอนบทหนึ่งว่า

“พ่อนำชำติด้วยสมองและสองแขน

พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี

พ่อของข้านามระบือชื่อ ‘ปรีดี’

แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”

 

ผมได้ไปปรึกษาคุณอดุลย์ โฆษะกิจจาเลิศ ประธานชุมนุมเชียร์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท

ว่างานบอลประเพณีฯ ที่จะมีในเดือนหน้า

เราน่าจะแปรอักษรเป็นข้อความนี้

และเปิดรูปอาจารย์ปรีดีบนสแตนด์เชียร์

ที่เต็มพรืดด้วยนักศึกษาจำนวน 2,500 คน

เพื่อประกาศให้โลกรู้ว่า

นักศึกษาธรรมศาสตร์รุ่นนี้ไม่เคยลืมอาจารย์ปรีดี

 

คุณอดุลย์เห็นด้วย

และบอกว่าพวกเราอยู่ปี 4 กันแล้ว

น่าจะทำอะไรเป็นการตอบแทนผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในบั้นปลายชีวิตของท่าน

พวกเราสอบถามจนพบว่า

คนเขียนกลอนบทนี้เป็นเพื่อนคณะนิติศาสตร์ชื่อเล่นว่า เทียน

เราก็ได้ขออนุญาตนำกลอนของเขามาทำภาพแปรอักษร

ต่อมาจึงประกาศให้ทีมงานบางคนทราบว่า

การแปรอักษรครั้งนี้จะเป็นครั้งประวัติศาสตร์

ที่ลูกแม่โดมจะเผยแพร่รูปอาจารย์ปรีดีสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก

เนื่องจากสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ถ่ายทอดสดตลอดรายการ

 

เราตกลงกันว่าการแปรอักษรนี้จะเป็นความลับ

รู้กันไม่กี่คนไม่บอกอาจารย์หรือศิษย์เก่าใดๆ

เพราะกลัวว่าจะถูกผู้ใหญ่บางคนห้ามปรามด้วยความหวาดกลัว

 

เวลานั้นพวกเราวางแผนกันว่า

หากแปรอักษรไปแล้วเกิดมีตำรวจหรือสันติบาลมาถามหา

ก็นัดแนะกันว่าจะหนีไปทางไหน

และจะไม่ซัดทอดกัน หากมีการถูกจับกุม

ก็ให้มีคนโดนจับน้อยที่สุด

 

พอถึงวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2526

งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ครั้งที่ 39 เริ่มขึ้น ณ สนามศุภชลาศัย

เราวางแผนล่วงหน้ากับทางโฆษกสนาม

ขณะที่ขบวนพาเหรดล้อการเมืองเข้าสู่สนามได้สักพัก

พอได้เวลาถ่ายทอดสด เราก็วิทยุไปยังโฆษก

บอกผู้ชมให้ตั้งใจดูหน้าสแตนด์เชียร์ธรรมศาสตร์

เพราะจะได้พบปรากฏการณ์ครั้งแรกและให้กล้องโทรทัศน์เตรียมจับภาพ

บนอัฒจันทร์เริ่มแปรอักษรเป็นคำกลอน ทีละวรรค

 

“พ่อนำชำติด้วยสมองและสองแขน

พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี

พ่อของข้านามระบือชื่อ ‘ปรีดี’

แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ”

 

พร้อมกับที่โฆษกสนามอ่านกลอนบทนี้ดังก้องสนามศุภชลาศัย

ปิดท้ายด้วยภาพอาจารย์ปรีดี พนมยงค์

มีฉากหลังเป็นรูปโดม สัญลักษณ์ของ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

 

เมื่อโฆษกสนามพูดบทกลอนซ้ำอีกครั้ง

ในสนามเงียบก่อนที่เสียงปรบมือจะดังลั่น

ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ศิษย์เก่า ต.มธก. หลายคนยืนขึ้น

น้ำตาไหลด้วยความดีใจเพราะเป็นครั้งแรกในรอบ 30 กว่าปี

ที่มีการพูดถึงอาจารย์ปรีดีชัดเจนในที่สาธารณะ

 

ขณะที่นักศึกษาบนอัฒจันทร์โห่ร้องด้วยความยินดี

ที่ตนในฐานะลูกแม่โดมได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้

 

พอแปรอักษรรูปนี้เสร็จ

พวกเราที่อยู่ด้านล่างทำหน้าที่ควบคุมสแตนด์เชียร์

ต่างสวมกอดกันด้วยความดีใจ

ที่สามารถทำให้อาจารย์ปรีดีออกมาสู่พื้นที่สาธารณะได้เป็นครั้งแรก

 

และโชคดีที่ไม่มีตำรวจ หรือสันติบาลมาสอบถามอะไร

 

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา

ชุมนุมเชียร์ก็ได้รับจดหมายจากอาจารย์ปรีดีส่งตรงจากประเทศฝรั่งเศส

ความว่ามีคนส่งภาพการแปรอักษรครั้งนี้ไปให้ท่านดู

จึงเขียนจดหมายมาขอบใจคนที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ยังรำลึกถึงท่าน

 

2 พฤษภาคมปีเดียวกัน

ปรีดี พนมยงค์ ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ

ณ บ้านพักชานกรุงปารีส

เมื่อได้ทราบข่าวผมรู้สึกสะเทือนใจ

ที่คนทำงานหนักเพื่อแผ่นดินมาตลอดชีวิต

ไม่อาจกลับมาตายที่บ้านเกิดได้

 

ขณะที่ความตายของท่านทำให้ผู้มีอำนาจผ่อนคลายลง

และเริ่มมีคนพูดถึงท่านมากขึ้น

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้สร้างอนุสาวรีย์รำลึกถึงท่านเป็นครั้งแรก

มีการประกาศเกียรติคุณ พิมพ์ผลงานความคิดของปรีดีออกมาเรื่อยๆ

 

นับจากนั้น ชื่อ ปรีดี พนมยงค์

ไม่กลายเป็นสิ่งต้องห้ามเหมือนในอดีตอีกต่อไป

แต่เมื่อทางครอบครัวจะนำอัฐิของท่านกลับเมืองไทยในปี 2529

กลับไม่ได้รับการต้อนรับหรือไม่ได้รับเกียรติยศใดๆ จากรัฐบาล

ทั้งที่ในฐานะอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตหัวหน้าเสรีไทย

ท่านได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติมาตลอดชีวิต

 

ในช่วงนั้น ผมได้รับการติดต่อจากอาจารย์ธรรมศาสตร์ให้ไปช่วยตบแต่งรถเชิญอัฐิ

เมื่อพวกเราไปถึงสนามบินดอนเมืองก็ต้องประหลาดใจ

ไม่มีพิธีกรรมใดๆ สำหรับสามัญชนผู้นี้

มีเพียงญาติพี่น้อง ลูกศิษย์ลูกหา ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

ผมโชคดีได้เป็นผู้ถือผอบบรรจุอัฐิของท่าน

บนรถตลอดทางจากดอนเมืองสู่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์

จำได้ว่าเมื่อมาถึงมหาวิทยาลัยฝนตกหนัก

ลูกศิษย์ลูกหาที่ทราบข่าวต่างมารอรับอย่างเนืองแน่น

จากนั้นเราลงเรือตำรวจน้ำ ดำรงราชานุภาพ ไปลอยอังคารในอ่าวไทย

 

แต่เกียรติคุณของท่านได้รับการฟื้นฟูอย่างจริงจังภายหลังปี 2543

เมื่อยูเนสโกยกย่องท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก

ในโอกาส 100 ปีชาตกาลรัฐบุรุษอาวุโส

 

ผมเป็นคนหนึ่งที่มีโอกาสศึกษาชีวิตของอาจารย์ปรีดี

ได้สัมผัสท่านผ่านท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ และลูกหลานมาหลายครั้ง

ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของท่านเป็นตัวหนังสือ

จึงพอจะเข้าใจชีวิตและความคิดของท่านพอสมควร

ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้ใหญ่ไม่กี่คนในชีวิตที่ผมสามารถก้มลงกราบได้อย่างสนิทใจ

และหากมีโอกาสไปธรรมศาสตร์คราใด

ก็ไม่ลืมที่จะนำพวงมาลัยไปกราบท่าน

สามัญชนผู้อยู่ในหัวใจของผมมาโดยตลอด

IMG_9461

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s