2019 เป็นวาระครบรอบ 100 ปีแห่งการสังหารหมู่ครั้งประวัติศาสตร์ในประเทศอินเดีย
หากใครที่เคยดูภาพยนตร์ยิ่งใหญ่เรื่อง Gandhi
เรื่องราวประวัติการต่อสู้ของมหาตมะ คานธี
และรางวัลตุ๊กตาทองออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 1982
จากฝีมือกำกับการแสดงของริชาร์ด แอตเทนบูรก์
คงจำฉากสะเทือนใจฉากหนึ่ง
เมื่อทหารอังกฤษกราดยิงชาวอินเดียตายไปจำนวนมาก
ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่เมืองอมฤตสา
ครั้งหนึ่ง ผมมีโอกาสมาเยือนสถานที่แห่งนี้ ในเมืองอมฤตสา
เมืองสำคัญของแคว้นปัญจาบ ประเทศอินเดีย
แคว้นปัญจาบถือเป็นดินแดนของชาวซิกข์
ขณะเดียวกันในสมัยที่อินเดียตกอยู่เป็นอาณานิคมของอังกฤษ
ปัญจาบเป็นฐานที่มั่นสำคัญแห่งหนึ่งของอินเดีย
ในการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการปกครองของอังกฤษ
ชาวซิกข์เป็นนักต่อสู้ชั้นยอด
ในอดีตประวัติการต่อสู้อันดุเดือดของนักรบชาวซิกข์
เพื่อให้หลุดพ้นจากการครอบงำของชาวมุสลิมที่ปกครองอินเดียเป็นที่เลื่องลือมาช้านาน
และเมื่ออังกฤษได้ยึดอินเดียเป็นอาณานิคม ได้ส่งเซอร์ไมเคิล โอไดเวอร์
มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการแคว้นปัญจาบ
เขาได้ออกกฎเหล็กประกาศให้
ชาวอินเดียที่ถูกกล่าวหาว่าปลุกระดมหรือก่อความวุ่นวาย
จะถูกจับติดคุกโดยไม่ต้องมีการไต่สวน
กฎหมายฉบับนี้ได้ทำให้ชาวปัญจาบพากันโกรธแค้น
และมีการชุมนุมประท้วงอย่างสงบเป็นระยะ
ภายใต้แนวทางอหิงสา ของมหาตมะ คานธี ผู้กำลังเริ่มต้นการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
ด้วยการจัดตั้งขบวนการสัตยเคราะห์
ซึ่งยึดถือความสัตย์หรือการแสวงหาความจริงด้วยจิตใจแห่งความรัก
และไม่ใช้ความรุนแรง
ในปี 1919 ชาวซิกข์ ชาวมุสลิม และชาวฮินดู 1,650 คน
ได้รวมกันชุมนุมประท้วงกฎหมายอย่างสงบในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งชื่อ
จาเลียนวาลา บาก เป็นเวลาหลายวัน
จนกระทั่งวันที่ 13 เมษายน 1919 ก่อนพระอาทิตย์จะตกดินไม่นาน
กองทหารอังกฤษ 90 คน ภายใต้การนำของพลจัตวาไดเออร์
ได้เดินเข้ามาปิดล้อมประจันหน้ากลุ่มผู้ชุมนุม
ไม่มีการพูดจาใด ๆ หรือประกาศเตือนให้ผู้คนกลับบ้าน
นายพลผิวขาวได้สั่งให้ทหารทั้งหมดยิงคนอย่างไม่เลือกหน้า
กองทหารทั้งหมดได้กราดปืนยิงผู้คนที่ไม่มีอาวุธล้มตายราวใบไม้ร่วง
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน เด็ก ผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ได้
สวนสาธารณะแห่งนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง
คนที่พยายามปีนป่ายขึ้นไปถูกยิงศพแล้วศพเล่า
ทหารใช้เวลาเพียง 10 นาทียิงกระสุนจนหมด
มีคนตาย 378 คน เป็นเด็ก 41 คน และบาดเจ็บ 1,500 คน
ทางการได้การประกาศเคอร์ฟิว ห้ามทุกคนออกนอกบ้านตอนกลางคืน
ศพถูกทิ้งข้ามคืน
ก่อนที่ชาวปัญจาบจะมาเที่ยวค้นหาญาติพี่น้องของตนเอง ในวันรุ่งขึ้น
ผมเดินเข้ามาในสวนสาธารณะแห่งนี้
ทางเข้าเป็นซอยแคบ ๆ พอให้คนเดินสวนกันได้
ซึ่งนับเป็นโชคดี เพราะวันนั้นพลจัตวาไดเออร์เอารถหุ้มเกราะติดปืนกลมาด้วยสองคัน
แต่เข้าไม่ได้เพราะทางแคบ มิฉะนั้นอาจจะเห็นคนตายมากกว่านี้
ภายหลังเหตุการณ์ผ่านไป
ผู้ว่าการแคว้นปัญจาบออกมาปกป้องนายพลผู้นี้ว่า
ได้ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องแล้ว
ขณะที่นายพลไดเออร์ได้บอกว่า
“เป็นการยับยั้งไม่ให้ฝูงชนกลับมารวมตัวกันอย่างได้ผล
การลงโทษครั้งนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญไม่ให้เกิดการชุมนุมประท้วงอีกต่อไป”
แต่เมื่อข่าวนี้กระจายไปทั่วโลก
อังกฤษถูกประณามจากคนทั่วโลก
และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานายพลไดเออร์ไม่เคยนอนหลับสนิท
ฝันร้ายไปตลอดชีวิต จนวันตาย
ส่วน เซอร์ไมเคิล โอไดเวอร์ ผู้ว่าการแคว้นปัญจาบ
ผู้มีส่วนสำคัญในการวางแผนสังหารหมู่ครั้งนี้
ได้เกษียนอายุราชการ กลับมาใช้ชีวิตในบ้านพักกรุงลอนดอนอย่างเงียบ ๆ
และไม่เคยถูกใครขู่เอาชีวิต
จนกระทั่งในวันที่ 13 มกราคม 1940
นายอัดฮาม สิงห์ นักปฏิวัติหัวรุนแรงและได้รับบาดเจ็บในวันสังหารโหดเมื่อสามสิบปีก่อน
ได้บุกเข้ามาลอบฆ่าชายชราผู้นี้
เขาถูกศาลอังกฤษตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในเวลาต่อมา
ในวันตัดสินคดี อัดฮาม สิงห์กล่าวว่า
“ข้าพเจ้ากระทำไปเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวอินเดีย
ที่ถูกชาวอังกฤษดูถูกเป็นเวลายี่สิบกว่าปี
ไดเวอร์ได้เหยียบย่ำจิตใจของพวกเรามานาน
ผมได้ทำหน้าที่ของผมแล้ว และกำลังจะตายเพื่อประเทศชาติ”
เมื่ออัฐของเขาถูกนำกลับประเทศอินเดีย
อัดฮาม สิงห์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษของชาติ
เป็นนักสู้เพื่ออิสรภาพของอินเดีย
ผู้ช่วยล้างแค้นแทนพี่น้องชาวปัญจาบ
ภาพถ่ายและชื่อของเขาติดอยู่ในพิพิธภัณฑ์
ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ไปตลอดกาล
เหตุการณ์การสังหารหมู่ครั้งนั้น
ได้ทำให้ชาวอินเดียพากันโกรธแค้น
และตื่นตัวเข้าร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชของมหาตมะ คานธีเป็นจำนวนมาก
มีการชุมนุมและประท้วงบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ
กดดันให้อังกฤษยอมให้เอกราชกับชาวอินเดียอีกยี่สิบกว่าปีต่อมา
ทุกวันนี้สวนสาธารณะแห่งนี้ได้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ
ทางการยังอนุรักษ์รอยกระสุนนับร้อยรูตามกำแพงไว้
ให้คนรุ่นหลังเห็นถึงความโหดร้ายของคนขาว
และบ่อน้ำขนาดใหญ่ที่มีผู้คนถูกยิงตกลงไปตายมากกว่าร้อยคน
ถูกรักษาไว้ในสภาพเดิม เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกและสะเทือนใจจริง ๆ

ผมไปเยือนสถานที่แห่งนี้ตอนประมาณเกือบสองทุ่ม
ร่วมกับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
ยิ่งได้บรรยากาศแบบเดิม ๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนมาร่วมร้อยปี
แต่ละวันมีชาวอินเดียนับพันคนจากทั่วสารทิศมาดูร่องรอยประวัติศาสตร์ของตัวเอง
เด็กนักเรียนมากันเต็มคันรถบัส
คุณครูพามาศึกษาสถานที่จริงเพื่อให้รู้ว่า
กว่าอินเดียจะได้มาซึ่งสิทธิ เสรีภาพและเอกราชมาถึงวันนี้นั้น
ไม่ใช่ด้วยการร้องขอ แต่คือการลุกขึ้นต่อสู้
คนในอดีต ต้องเจ็บปวดและเสียสละชีวิตมากน้อยเพียงใด
เพื่อให้คนรุ่นหลังมีชีวิตที่ดีกว่า
ส่วนที่เมืองไทย นึกไม่ออกจริง ๆว่า
จะไปดูสถานที่แบบนี้ได้ที่ไหน
เพราะดูเหมือนผู้ปกครองทุกยุคทุกสมัย
อยากให้เด็กรุ่นหลังลืมประวัติศาสตร์บางช่วง
มากกว่าจะเรียนรู้ประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพของประชาชนจริง ๆ
